ยาสามัญประจำบ้าน
ยาสามัญประจำบ้านเป็นยาแผนปัจจุบัน
และแผนโบราณที่ประชาชนทั่วไปสามารถ
หาซื้อและจำหน่ายได้โดยไม่ต้องมีใบอนุญาตจากแพทย์
และใช้รักษาอาการเจ็บป่วยเล็กๆน้อยๆ
เช่น ไอ ปวดหัว
ปวดท้อง ของมีคมบาด และแผลพุพอง ซึ่งองค์การเภสัชกรรม กระทรวง
สาธารณสุขได้ผลิตยาต่าง
ๆ ที่มีคุณภาพดี ราคาถูก และได้มาตรฐานสำหรับจำหน่ายให้แก่
ประชาชนทั่วไปหากใช้แล้วอาการไม่ดีขึ้นควรไปปรึกษาแพทย์เพื่อรับการรักษาต่อไป
ตัวอย่างยาสามัญประจำบ้าน
ควรมีไว้ได้แก่
1. ยาแก้ปวดแก้ไข
2. ยาแก้แพ้
3. ยาถ่าย หรือยาระบาย
4. ยาสำหรับกระเพาะอาหารและลำไส้
- ยาลดกรด
- ยาธาตุน้ำแดง
- ผงน้ำตาลเกลือแร่
- ทิงเจอร์มหาหิงคุ์
5. ยาสำหรับสูดดมและแก้ลมวิงเวียน
6. ยาแก้ไอ แก้เจ็บคอ
7. ยาสำหรับโรคผิวหนัง
8. ยารักษาแผล
- ยาใส่แผลสด
- แอลกอฮอล์เช็ดแผล
หลักการและวิธีการใช้ยาสามัญประจำบ้าน
หลักและวิธีการใช้ยา
ยารักษาโรคนั้นมีทั้งคุณและโทษ
เพื่อให้เกิดความปลอดภัย ควรคำนึงหลักการ
ใช้ยาดังนี้
1. ใช้ยาตามคำสั่งแพทย์ เท่านั้น เพื่อจะได้ใช้ยาถูกต้องตรงกับโรค
ไม่ควรใช้ยา
ตามคำโฆษณา เพราะการโฆษณานั้นอาจแจ้งสรรพคุณยาเกินความจริง
2. ใช้ยาให้ถูกวิธี เพราะการจะนำยาเข้าสู่ร่างกายมีหลายวิธี
เช่น การกิน การ
ฉีด การทา การหยอด
การเหน็บ เป็นต้น การจะใช้วิธีใดก็ขึ้นอยู่กับคุณสมบัติของตัวยานั้น ๆ
ดังนั้นก่อนใช้ยา
จึงจำเป็นต้องอ่านฉลาก ศึกษาวิธีการใช้ให้ละเอียดก่อนใช้ทุกครั้ง
3. ใช้ยาให้ถูกขนาด ใช้ให้ถูกขนาดตามที่แพทย์สั่ง คือไม่มากหรือน้อยเกินไป
จึงจะให้ผลดีในการรักษา
เช่น ให้กินครั้งละ
1 เม็ด วันละ 3 ครั้ง ก็ไม่ควรกิน 2 เม็ด หรือเพิ่ม
เป็นวันละ 4 - 5 ครั้ง เป็นต้น และการใช้ยาในแต่ละคนก็แตกต่างกันโดยเฉพาะเด็กจะมีขนาด
การใช้ที่แตกต่างจากผู้ใหญ่
4. ใช้ยาให้ถูกเวลา คือ ช่วงเวลาในการรับประทานยาหรือการนำยาเข้าสู่
ร่างกายด้วยวิธีต่าง
ๆ เช่น หยอด เหน็บ ทา ฉีด เป็นต้น เพื่อให้ปริมาณของยาในกระแสเลือดมี
มากพอในการบำบัดรักษาโดยไม่เกิดพิษและไม่น้อยเกินไปจนสามารถรักษาโรคได้
ซึ่งการใช้ยา
ให้ถูกเวลาควรปฏิบัติดังนี้
4.1 การรับประทานยาก่อนอาหาร ควรรับประทานก่อนอาหารอย่างน้อย
½ - 1 ชั่วโมง เพื่อให้ยาถูกดูดซึมได้ดีถ้าลืมกินยาในช่วงใดก็ให้กิน
หลังอาหารมื้อนั้นผ่านไปแล้ว
อย่างน้อย 2 ชั่วโมง
4.2 การรับประทานยาหลังอาหาร ควรรับประทานหลังอาหารทันที
หรือ
หลังจากกินอาหารแล้วอย่างน้อย 15 นาที เพื่อให้ยาถูกดูดซึมเข้าสู่กระแสเลือดร่วมกับอาหาร
ในลำไส้เล็ก
4.3 การรับประทานยาก่อนนอน ควรรับประทานยานั้นหลังจากกินอาหาร
มื้อเย็นเสร็จแล้วไม่ต่ำกว่า 4 ชั่วโมง ก่อนเข้านอน
5. ใช้ยาให้ถูกมาตรฐาน ต้องใช้ยาที่มีตัวยาครบทั้งชนิดและปริมาณไม่ใช้ยา
ที่เสื่อมคุณภาพหรือหมดอายุ
สามารถดูได้จากวัน,
เดือน, ปี ที่ระบุไว้ว่าผลิต เมื่อใด หมดอายุ
เมื่อใด เป็นต้น
6. ใช้ยาให้ถูกกับคน ต้องอ่านให้ละเอียดก่อนใช้ยาว่า ยาชนิดใดใช้กับใคร
เพศ
และอายุ
7. ใช้ยาให้ถูกกับโรค คือ ใช้ยาให้ตรงกับโรคที่เป็น การจะเลือกใช้ยาตัวใด
ในการรักษานั้น
ควรให้แพทย์ หรือเภสัชกรผู้รู้เป็นคนจัดให้
8. การใช้ยาที่ใช้ภายนอก ยาที่ใช้ภายนอก ได้แก่ ขี้ผึ้ง ครีม
ยาผง ยาเหน็บ
ยาหยอดโดยมีวิธีการดังนี้
8.1 ยาใช้ทา ให้ทาเพียงบางๆ เฉพาะบริเวณที่เป็นโรค หรือบริเวณที่มี
อาการ
8.2 ยาใช้ถูนวด ให้ทาและถูบริเวณที่มีอาการเบา ๆ
8.3 ยาใช้โรย ก่อนที่จะโรยยาควรทำความสะอาดแผลและเช็ดบริเวณ
โดยรอบด้วยแอลกอฮอล์หรือยาฆ่าเชื้อที่จะทำให้แห้งเสียก่อน
ไม่ควรโรยยาที่แผลสด หรือแผล
ที่มีน้ำเหลืองเพราะผงยาจะเกาะกันแข็งปิดแผล
อาจเป็นแหล่งสะสมเชื้อโรคภายในแผลได้
8.4 ยาใช้หยด จะมีประเภทยาหยอดตา หยอดหู หยอดหรือพ่นจมูก
โดยยา
หยอดตาให้ใช้หลอดหยอดยาที่ให้มา
โดยเฉพาะเวลาหยอดจะต้องไม่ให้หลอดสัมผัสกับตา
ให้หยอดบริเวณกลางหรือหางตาตามจำนวนที่กำหนดไว้ในฉลากหรือตามที่แพทย์สั่ง
ยาหยอด
ยาเมื่อเปิดใช้แล้ว
ไม่ควรเก็บไว้ใช้นานเกิน
1 เดือน และไม่ใช้ยาร่วมกันหลายคน
9. การใช้ยาที่ใช้ภายนอกและยาที่ใช้ภายใน คือ ยาที่ใช้รับประทาน
ได้แก่
ยาเม็ด ยาผง ยาน้ำ
โดยมีวิธีการใช้ดังนี้
9.1 ยาเม็ด ที่ให้เคี้ยวก่อนรับประทาน ได้แก่ ยาลดกรดชนิดเม็ด
ยาที่ห้าม
เคี้ยว ให้กลืนลงไปเลย
ได้แก่ ยาชนิดที่เคลือบน้ำตาล และชนิดที่เคลือบฟิล์มบางๆ จับดูจะรู้สึก
ลื่น
9.2 ยาแคปซูล เป็นยาที่ห้ามเคี้ยวให้กลืนลงไปเลย ทั้งชนิดอ่อน
และชนิด
แข็ง ซึ่งชนิดแข็งจะประกอบด้วยปลอก 2 ข้างสวมกัน
9.3 ยาผง มีอยู่หลายชนิดและใช้แตกต่างกัน เช่น ตวงใส่ช้อนรับประทาน
แล้วดื่มน้ำตามหรือชนิดตวงมาละลายน้ำก่อน
และยาผงที่ต้องละลายน้ำในขวดให้ได้ปริมาตร
ที่กำหนดไว้ก่อนที่จะใช้รับประทาน
น้ำที่นำมาใช้ละลายยาต้องเป็นน้ำดื่มที่ต้มสุกทิ้งให้เย็นแล้ว
และควรใช้ยาให้หมดภายใน 7 วันหลังจากผสมน้ำแล้ว
10. ใช้ยาตามคำแนะนำในฉลาก ปกติยาทุกชนิดจะมีฉลากยากำกับไว้
เพื่อบอกถึงชื่อยา
วิธีการใช้ และรายละเอียดอื่น ๆ ซึ่งเราจำเป็นต้องอ่านให้เข้าใจโดยละเอียด
ก่อนใช้ ว่าเป็นยาประเภทใดจะได้ปฏิบัติตามให้ถูกต้องตามที่ฉลากยาแนะนำเอาไว้
ลักษณะยา
ยามีหลายประเภท
มีทั้งยากิน ยาทา ยาอมในแต่ละประเภทมีอีกหลายชนิด
ซึ่งมีวิธีการและข้อควรระวังแตกต่างกัน
จึงจำเป็นต้องเรียนรู้ถึงลักษณะและประเภทของยา
การจำแนกประเภทของยา
ตามพระราชบัญญัติยา
ฉบับที่
3 พ.ศ. 2522 ได้ให้ความหมายว่า
ยา หมายถึง
สารที่ใช้ในการวิเคราะห์
บำบัดรักษา ป้องกันโรคหรือความเจ็บป่วยของมนุษย์และสัตว์ รวมทั้ง
ใช้ในการบำรุงและเสริมสร้างสุขภาพร่างกายและจิตใจด้วย
สามารถจำแนกได้ เป็น
6 ประเภท
ดังนี้
1. ยาแผนปัจจุบัน
หมายถึง ยาที่ใช้รักษาโรคแผนปัจจุบันทั้งในคนและสัตว์ เช่น
ยาลดไข้ ยาปฏิชีวนะ
ยาแก้ปวด ยาแก้แพ้ เป็นต้น
2. ยาแผนโบราณ หมายถึง
ยาที่ใช้รักษาโรคแผนโบราณทั้งในคนและสัตว์ยา
ชนิดนี้จะต้องขึ้นทะเบียนเป็นตำรับยาแผนโบราณอย่างถูกต้อง
เช่น ยามหานิลแท่งทอง
ยาธาตุบรรจบ ยาเทพมงคล
ยาเขียวยาหอม เป็นต้น
3. ยาอันตราย หมายถึง
ยาที่ต้องควบคุมการใช้เป็นพิเศษ เพราะหากใช้ยา
ประเภทนี้ ไม่ถูกต้องอาจมีอันตรายถึงแก่ชีวิตได้
เช่น ยาปฏิชีวนะชนิดต่างๆ ยาจำพวก
แก้คลื่นเหียนอาเจียน
เป็นต้น
4. ยาสามัญประจำบ้าน
หมายถึง ยาทั้งที่เป็นแผนปัจจุบันและแผนโบราณ
ซึ่งกำหนดไว้ในพระราชบัญญัติยาว่าเป็นยาสามัญประจำบ้าน
เช่น ยาธาตุน้ำแดง ยาขับลม
ยาเม็ดซัลฟากัวนิดีน
ยาระบายแมกนีเซีย ดีเกลือ ยาเม็ดพาราเซตามอล เป็นต้น
5. ยาสมุนไพร หมายถึง
ยาที่ได้จากพืช สัตว์ หรือแร่ ซึ่งยังไม่ได้นำมาผสมหรือ
เปลี่ยนสภาพ เช่น
ว่านหางจระเข้ กระเทียม มะขาม มะเกลือ นอแรด เขี้ยวเสือ ดีงูเหลือม
ดีเกลือ สารส้ม
จุนสี เป็นต้น
6. ยาควบคุมพิเศษ
ได้แก่ ยาแผนปัจจุบัน หรือยาแผนโบราณที่รัฐมนตรี
ประกาศเป็นยาควบคุมพิเศษ
เช่น ยาระงับประสาทต่าง ๆ
รูปแบบของยา
ยาที่ผลิตในปัจจุบันมีหลายรูปแบบ
เพื่อสะดวกแก่การใช้ยาและให้มี
ประสิทธิภาพสูงสุด
ได้แก่
1. ยาเม็ด มีทั้งยาเม็ดธรรมดา
เช่น พาราเซตามอล เม็ดเคลือบฟิล์ม เช่น ยาแก้
ไอ ยาเม็ดเคลือบน้ำตาล
เช่น ไวตามิน เม็ดเคลือบพิเศษ เพื่อให้ยาแตกตัวที่ลำไส้ เช่น ยาวัณ
โรค ยาแก้ปวด
2. ยาแคปซูล แคปซูลชนิดแข็ง
ได้แก่ ยาปฏิชีวนะต่าง ๆ แคปซูลชนิดอ่อนได้แก่
น้ำมันตับปลา วิตามินอี
ปลอกหุ้มของยานี้จะละลายในกระเพาะอาหาร เพราะมีรสขมหรือมี
กลิ่นแรง
3. ยาน้ำ มีหลายชนิด
เช่น ยาแก้ไอน้ำเชื่อม ยาแก้ไข้หวัดเด็ก
4. ยาฉีด ทำเป็นหลอดเล็ก
ๆ และเป็นขวด รวมทั้งน้ำเกลือด้วย
นอกจากนี้ยังมียาขี้ผึ้งทาผิวหนัง
บดผง ยาเหน็บ ยาหยอดตา ยา
หยอดหู ยาหยอดจมูก
ยาอม รูปแบบของยาขึ้นอยู่กับจุดมุ่งหมายผู้ใช้
การเก็บรักษา
วิธีการเก็บรักษายาที่ถูกต้องด้วย
เพื่อให้ยามีคุณภาพในการรักษา ไม่เสื่อม
คุณภาพเร็ว มีวิธีการเก็บรักษา
ดังนี้
1. ตู้ยาควรตั้งให้พ้นจากมือเด็ก
โดยอยู่ในระดับที่เด็กไม่สามารถหยิบถึง
เพราะจะก่อให้เกิดอันตรายได้
2. ไม่ตั้งตู้ยาในที่ชื้น
ควรตั้งอยู่ในที่ที่อากาศถ่ายเทได้สะดวก และควรเก็บยาให้
ห่างจากห้องครัว
ห้องน้ำและต้นไม้
3. ควรจัดตู้ยาให้เป็นระเบียบ
โดยแยกประเภทของยา เช่น ยาใช้ภายนอกยาใช้
ภายใน และเวชภัณฑ์
เพื่อป้องกันอันตรายจากการหยิบยาผิด
4. ตู้ยาควรตั้งอยู่ในที่ที่แสงแดดส่งเข้าไปไม่ถึง
เพราะยาบางชนิดหากถูก
แสงแดด จะเสื่อมคุณภาพจึงต้องเก็บในขวดทึบแสงมักเป็นขวดสีชา
เช่น ยาหยอดตา
ยาวิตามิน ยาปฏิชีวนะ
การสังเกตยาที่เสื่อมสภาพ
ยาเสื่อมสภาพ หมายถึง
ยาที่หมดอายุ ไม่มีผลทางการรักษาและอาจก่อให้เกิด
ปัญหาต่อสุขภาพได้
ก่อนการใช้ยาและเวชภัณฑ์ทุกชนิด จะต้องสังเกตลักษณะของยา ว่ามีการ
เสื่อมสภาพหรือไม่
โดยมีข้อสังเกตดังต่อไปนี้
1. ยาเม็ดธรรมดา เป็นยาที่จะเกิดการเปลี่ยนสภาพได้ง่ายเมื่อถูกความชื้นของ
อากาศ ทุกครั้งที่เปิดขวดใช้ยาแล้วควรปิดฝาขวดให้แน่น
ถ้าพบว่ายามีกลิ่นผิดไปจากเดิม เม็ด
ยามีผลึกเกาะอยู่
แสดงว่ายาเสื่อมสภาพไม่ควรนำมาใช้
2. ยาเม็ดชนิดเคลือบน้ำตาล
จะเปลี่ยนแปลงง่ายถ้าถูกความร้อนหรือความชื้น
จะทำให้เม็ดยาเยิ้มสีละลาย
ซีดและด่างไม่เสมอกัน หรือบางครั้งเกิดการแตกร่อนได้ ถ้าพบ
สภาพยาดังกล่าวก็ไม่ควรนำมาใช้
3. ยาแคปซูล ยาชนิดแคปซูลที่เสื่อมสภาพสามารถสังเกตได้จากการที่
แคปซูลจะพองหรือแยกออกจากกัน
และยาภายในแคปซูลก็จะมีสีเปลี่ยนไป ไม่ควรนำมาใช้
4. ยาฉีด ยาฉีดที่เสื่อมสภาพจะสังเกตได้ง่ายโดยดูจากยาที่บรรจุในขวดหรือ
หลอด ยาฉีดชนิดเป็นผง
ถ้ามีลักษณะต่อไปนี้แสดงว่าเสื่อมสภาพ
- สีของยาเปลี่ยนไป
- ผงยาเกาะติดผนังหลอดแก้ว
- ผงยาเกาะตัวและต้องใช้เวลาทำละลายนานผิดปกติ
- เมื่อดูดยาเข้าหลอดฉีดยาทำให้เข็มอุดตัน
5. ยาน้ำใส ลักษณะของยาน้ำใสที่เสื่อมสภาพสังเกตได้ง่ายดังนี้
- สีของยาเปลี่ยนไปจากเดิม
- ยาขุ่นผิดปกติและอาจมีการตกตะกอนด้วย
- ยามีกลิ่นบูดเปรี้ยว
6. ยาน้ำแขวนตะกอน
ลักษณะของยาน้ำแขวนตะกอนที่เสื่อมสภาพ
จะสังเกตพบลักษณะดังนี้
- มีสี กลิ่น และรสเปลี่ยนไปจากเดิม
- เมื่อเขย่าขวดแล้วตัวยาไม่เป็นเนื้อเดียวกัน
หรือยามีตะกอนแข็งเขย่าไม่แตก
7. ยาเหน็บ ลักษณะของยาเหน็บที่เสื่อมสภาพและไม่ควรใช้มีดังนี้
- เม็ดยาผิดลักษณะจากรูปเดิมจนเหน็บไม่ได้
- ยาเหลวละลายจนไม่สามารถใช้ได้
8. ยาขี้ผึ้ง เมื่อเสื่อมสภาพจะมีลักษณะที่สังเกตได้ง่ายดังนี้
- มีการแยกตัวของเนื้อยา
- เนื้อยาแข็งผิดปกติ
- สีของขี้ผึ้งเปลี่ยนไปและอาจมีจุดด่างดำเกิดขึ้นในเนื้อยา
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น