การดูแล รักษา
ป้องกันความผิดปกติของอวัยวะสำคัญของร่างกาย
การดูแลรักษาป้องกัน
ความผิดปกติของอวัยวะสำคัญของร่างกาย อวัยวะภายนอกและภายในมีความสำคัญของร่างกาย
จำเป็นต้องดูแลรักษาให้สามารถทำงานได้ตามปกติเพราะถ้าอวัยวะส่วนใดส่วนหนึ่งเกิดความบกพร่องหรือเกิดความผิดปกติ
ระบบการทำงานนั้นก็จะบกพร่องหรือผิดปกติด้วย
มีวิธีการง่าย ๆ ในการดูแลรักษาอวัยวะต่าง ๆ ดังนี้
3.1 การดูแลรักษาดวงตา มีข้อควรปฏิบัติดังนี้
ดวงตามีความสำคัญ
ทำให้มองเห็นสิ่งต่าง ๆ จึงควรดูแลรักษาดวงตาให้ดี ด้วยวิธีดังต่อไปนี้
3.1.1 ไม่ควรใช้สายตาจ้องหรือเพ่งสิ่งต่าง
ๆ มากเกินไป ควรพักสายตาโดยการหลับตา หรือมองออกไปยังที่กว้าง
ๆ หรือพื้นที่สีเขียว
3.1.2 ขณะอ่านหรือเขียนหนังสือ
ควรให้แสงสว่างอย่างเพียงพอ และควรวางหนังสือให้ห่างจากตาประมาณ 1 ฟุต
3.1.3 ไม่ควรอ่านหนังสือขณะอยู่บนยานพาหนะ
เช่น รถ หรือรถไฟที่กำลังแล่น
3.1.4 ดูโทรทัศน์ให้ห่างจากจอภาพไม่น้อยกว่า
3 เท่า ของขนาดจอภาพ
3.1.5 เมื่อมีฝุ่นละอองเข้าตา
ไม่ควรขยี้ตาควรใช้วิธีลืมตาในน้ำสะอาด หรือล้างด้วยน้ำยาล้างตา
3.1.6 ไม่ควรใช้ผ้าเช็ดหน้าร่วมกับผู้อื่น
เพราะอาจติดโรคตาแดงจากผู้อื่นได้
3.1.7 หลีกเลี่ยงการมองบริเวณที่แสงจ้า
หรือหลีกเลี่ยงสถานที่ที่มีฝุ่นละอองฟุ้งกระจาย
3.1.8 อย่าใช้ยาล้างตาเมื่อไม่มีความจำเป็น
เพราะตามธรรมชาติน้ำในเปลือกตา ทำหน้าที่ล้างตาดีที่สุด
3.1.9 บริหารเปลือกตาบน
และเปลือกตาล่างทุกวัน ด้วยการใช้นิ้วชี้รูดกดไปบนเปลือกตาจากคิ้ว
ไปทางหางตา
3.2 การดูแลรักษาหู มีข้อควรปฏิบัติดังนี้
หูมีความสำคัญต่อการได้ยิน
ถ้าหูผิดปกติจนไม่สามารถได้ยินเสียงต่างๆ การทำกิจกรรมในชีวิตประจำวัน
ก็ไม่ราบรื่น เกิดอุปสรรค ดังนั้นจึงควรดูแลรักษาหู ให้ทำหน้าที่ให้ดีอยู่เสมอ
3.2.1 หลีกเลี่ยงแหล่งที่มีเสียงดังอึกทึก
ถ้าหลีกเลี่ยงไม่ได้ควรป้องกันตนเองโดยหาอุปกรณ์มาอุดหู
หรือครอบหู เพื่อป้องกันไม่ให้แก้วหูฉีกขาด
3.2.2 ไม่ควรแคะหูด้วยวัสดุใด
ๆ เพราะอาจทำให้หูอักเสบเกิดการติดเชื้อ
3.2.3 เมื่อมีแมลงเข้าหู ให้ใช้น้ำมันมะกอก หรือน้ำมันพาราฟิลหยอดหู
3.2.3 เมื่อมีแมลงเข้าหู ให้ใช้น้ำมันมะกอก หรือน้ำมันพาราฟิลหยอดหู
ทิ้งไว้สักครู่แมลงจะตาย
แล้วจึงเอียงหูให้แมลงไหลออกมา
3.2.4 ขณะว่ายน้ำ
หรืออาบน้ำ พยายามอย่าให้น้ำเข้าหู ถ้ามีน้ำเข้าหูให้เอียงหูให้น้ำออกมาเอง
3.2.5 เมื่อเป็นหวัดไม่ควรสั่งน้ำมูกแรงๆ
เพราะเชื้อโรคอาจผ่านเข้าไปในรูหูเกิดอักเสบ ติดเชื้อกลายเป็นหูน้ำหนวก
และเมื่อมีสิ่งผิดปกติเกิดขึ้นกับหู ควรปรึกษาแพทย์
3.3 การดูแลรักษาจมูก มีข้อควรปฏิบัติดังนี้
จมูกเป็นอวัยวะรับสัมผัสที่มีความสำคัญ
ทำให้ได้กลิ่น และหายใจเอาอากาศบริสุทธิ์เข้าสู่ปอด
ควรดูแลรักษาจมูกให้ทำหน้าที่ได้ตามปกติด้วยวิธีดังนี้
3.3.1 หลีกเลี่ยงบริเวณที่มีฝุ่นละอองฟุ้งกระจาย
3.3.2 ไม่ควรแคะจมูกด้วยวัสดุแข็ง
เพราะอาจทำให้จมูกอักเสบ
3.3.3 ไม่ควรสั่งน้ำมูกแรง
ๆ ถ้าเป็นหวัดเรื้อรัง ควรปรึกษาแพทย์
3.3.4 ถ้ามีความผิดปกติเกิดขึ้นกับจมูก
ควรปรึกษาแพทย์
3.4 การดูแลรักษาช่องปากและฟัน มีข้อควรปฏิบัติดังนี้
3.4.1 ดูแลความสะอาดและตรวจเหงือกและฟันด้วยตนเองอย่างสม่ำเสมอ
3.4.2 ควรแปรงฟันให้ถูกวิธีหลังอาหารทุกมื้อ
หรือควรแปรงฟันอย่างน้อย
วันละ 2 ครั้ง
3.4.3 ไม่ควรกัดหรือฉีกของแข็งด้วยฟัน
และควรพบทันตแพทย์เพื่อตรวจฟันทุก6 เดือน
3.4.4 ออกกำลังเหงือกด้วยการถู
นวดเหงือก ตอนเช้า และกลางคืนก่อนนอนโดยการอมเกลือหรือเกลือป่นผสมสารส้มป่นประมาณ 5 นาที แล้วนวดเหงือก
3.4.5 รับประทานผัก
ผลไม้สดมาก ๆ และหลีกเลี่ยงการรับประทานลูกอมช็อคโกแลตและขนมหวาน
ๆ
3.4.6 หลีกเลี่ยงพฤติกรรมเสี่ยง
เช่น การสูบบุหรี่ ดื่มแอลกอฮอล์
3.4.7 ควรไปพบแพทย์เพื่อตรวจสุขภาพช่องปาก
อย่างน้อยปีละ 2 ครั้ง
3.5 การดูแลรักษาผิวหนัง มีข้อควรปฏิบัติดังนี้
3.5.1 อาบน้ำอย่างน้อยวันละ
2 ครั้ง หลังจากอาบน้ำเสร็จ ควรเช็ดตัวให้แห้ง
3.5.2 สวมเสื้อผ้าที่สะอาด
ไม่เปียกชื้น และไม่รัดรูปจนเกินไป
3.5.3 รับประทานอาหารที่มีประโยชน์และดื่มน้ำมาก
ๆ ออกกำลังกายอย่าง
สม่ำเสมอ หลีกเลี่ยงแสงแดดจ้า
และระมัดระวังในการใช้เครื่องสำอาง
3.5.4 เมื่อผิวหนังผิดปกติควรปรึกษาแพทย์
3.6 การดูแลรักษาปอด มีข้อควรปฏิบัติดังนี้
3.6.1 ควรอยู่ในสถานที่ที่มีอากาศบริสุทธิ์ถ่ายเทได้เสมอหลีกเลี่ยงอยู่ในสถานที่ที่มีฝูงชนแออัด
3.6.2 ควรหายใจทางจมูก
เพราะในจมูกมีขนจมูกและเยื่อเสมหะ ซึ่งจะช่วยกรองฝุ่นละออง
และเชื้อโรคไม่ให้เข้าไปในปอด หลีกเลี่ยงการหายใจทางปาก
3.6.3 ไม่ควรนอนคว่ำนาน
ๆ จะทำให้ปอดถูกกดทับทำงานไม่สะดวก
3.6.4 ไม่ควรสูบบุหรี่
เพราะจะส่งผลให้เป็นอันตรายต่อปอด
3.6.5 ควรนั่งหรือยืนตัวตรง
ไม่ควรสวมเสื้อผ้าที่รัดแน่น เพราะจะทำให้ปอดขยายตัวไม่สะดวก
3.6.6 ควรรักษาร่างกายให้อบอุ่น
เพื่อป้องกันการเป็นหวัด
3.6.7 ควรบริหารปอด
ด้วยการหายใจยาว ๆ วันละ 5 - 6 ครั้งทุกวัน ทำให้ปอดขยายตัวได้เต็มที่
3.6.8 ควรระวังการกระทบกระเทือนอย่างรุนแรงจากภายนอก
เช่น หน้าอกแผ่นหลัง เพราะจะกระทบกระเทือนไปถึงปอดด้วย
3.6.9 ควรพักผ่อนให้เต็มที่
การออกกำลังกายหรือการเล่นกีฬาใด ๆ อย่าให้เกินกำลังหรือเหนื่อยเกินไป
เพราะจะทำให้ปอดต้องทำงานหนัก
3.6.10 ควรตรวจสุขภาพ
หรือเอ็กซเรย์ปอดอย่างน้อยปีละ 1 ครั้ง
3.7 การดูแลรักษาหัวใจ มีวิธีการปฏิบัติดังนี้
3.7.1 ควรออกกำลังกายสม่ำเสมอ
เหมาะสมกับสภาพร่างกาย และวัยไม่หักโหมเกินไป เพราะจะทำให้หัวใจต้องทำงานมาก
อาจเป็นอันตรายได้
3.7.2 ไม่ดื่มน้ำชา
กาแฟ สูบบุหรี่ ดื่มสุราหรือเครื่องดื่มที่มีสารกระตุ้นเพราะทำให้หัวใจทำงานหนักจนอาจเป็นอันตรายแก่กล้ามเนื้อหัวใจได้
3.7.3 ไม่รับประทานยาที่กระตุ้นการทำงานของหัวใจ
โดยไม่ปรึกษาแพทย์
3.7.4 การนอนคว่ำ
เป็นเวลานานๆ จะส่งผลทำให้หัวใจถูกกดทับทำงานไม่สะดวก
3.7.5 ไม่ควรนอนในสถานที่อากาศถ่ายเทไม่สะดวก
หรือสวมเสื้อผ้าที่รัดรูป
จนเกินไป จะทำให้ระบบการทำงานของหัวใจไม่สะดวก
3.7.6 ระมัดระวังไม่ให้หน้าอกได้รับความกระทบกระเทือน
เพราะอาจเป็น
อันตรายกับหัวใจได้
3.7.7 ไม่ควรวิตกกังวล
กลัว ตกใจ เสียใจมากเกินไป เพราะจะส่งผลต่อการ
ทำงานของหัวใจ
3.7.8 ไม่ควรรับประทานอาหารที่มีไขมันและน้ำตาลมากเกินไป
เพราะจะ
ทำให้เกิดไขมันเกาะภายในเส้นเลือด
และกล้ามเนื้อหัวใจ ทำให้หัวใจต้องทำงานหนักขึ้นจะเป็น
อันตรายได้
3.7.9 เมื่อเกิดอาการผิดปกติของหัวใจ
ควรปรึกษาแพทย์
3.8 การดูแลรักษากระเพาะอาหารและลำไส้ ควรปฏิบัติดังนี้
3.8.1 ควรรับประทานอาหาร
ที่มีประโยชน์ ไม่แข็ง ไม่เหนียว หรือย่อยยากหรือมีรสจัดเกินไป
เพราะทำให้กระเพาะอาหารทำงานหนักหรือทำให้เกิดเป็นแผลได้
3.8.2 ควรให้ร่างกายอบอุ่น
ในเวลานอนต้องสวมเสื้อผ้าหรือห่มผ้าเสมอเพื่อมิให้ท้องรับความเย็นจนเกินไป
จนอาจเกิดอาการปวดท้อง
3.8.3 ควรควบคุมอารมณ์
เพราะความเครียด ความวิตกกังวล ก็ทำให้กระเพาะอาหารหลั่งน้ำย่อยออกมามาก
3.8.4 เคี้ยวอาหาร
ให้ละเอียดก่อนกลืน และไม่รีบรับประทาน เพราะจะทำให้อาหารย่อยยาก
3.8.5 ไม่ควรสวมเสื้อผ้าคับหรือรัดเข็มขัดแน่นเกินไป
จะทำให้กระเพาะอาหารทำงานไม่สะดวก
3.8.6 ไม่ควรรับประทานจุบจิบ
เพราะจะทำให้กระเพาะอาหารต้องทำงานอยู่เสมอไม่มีเวลาพัก
3.8.7 ควรรับประทานอาหารให้เป็นเวลา
ไม่ปล่อยให้หิวมาก หรือรับประทานอาหารมากเกินไป
จะทำให้กระเพาะอาหารต้องทำงานหนัก หรือเกิดอาการอาหารไม่ย่อย แน่นท้องได้
3.8.8 ไม่รับประทานของหมักดอง
จะทำให้เกิดอาการท้องเสียหรือท้องร่วงได้
3.8.9 ปฏิบัติตนตามหลักสุขนิสัยที่ดี
โดยกินร้อน ช้อนกลาง ล้างมือเพื่อป้องกันเชื้อโรคที่อาจก่อให้เกิดอันตรายต่อกระเพาะอาหารได้
3.8.10 ควรรับรับประทานอาหารที่ปรุงสุกใหม่ๆ
เพื่อป้องกันการเกิดโรคติดต่อ เช่น
อหิวาตกโรค โรคบิด พยาธิต่าง ๆ ท้องร่วง
3.9 การดูแลรักษาไต ควรปฏิบัติดังนี้
3.9.1 ควรรับประทานอาหาร
น้ำ เกลือแร่ ให้เหมาะสมตามสภาวะของร่างกาย
3.9.2 ควรหลีกเลี่ยงการใช้ยาหรือรับประทาน
ยาที่มีผลเสียต่อไต เช่น ยาซัลฟา ยาแก้ปวด
และแก้อักเสบต่อเนื่องเป็นเวลานาน
3.9.3 ไม่ควรกลั้นปัสสาวะเอาไว้นาน
ๆ หรือสวนปัสสาวะ
3.9.4 ผู้ที่มีอาการของโรคเบาหวาน
โรคความดันโลหิตสูง ควรรักษาเพราะจะส่งผลกระทบต่อการทำงานของไต
3.9.5 เมื่อเกิดอาการผิดปกติที่สงสัยว่าจะเป็นโรคไต
เช่น เท้า ตัว หรือหน้าบวม ปัสสาวะเป็นสีคล้ำเหมือนสีน้ำล้างเนื้อ
หรือปัสสาวะบ่อยผิดปกติ ควรปรึกษาแพทย์
3.9.6 ควรตรวจสุขภาพ ตรวจปัสสาวะ อย่างน้อยประจำปีละ 1-2 ครั้ง
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น