โครงสร้าง หน้าที่และการทำงานของอวัยวะภายนอก อวัยวะภายในที่สำคัญ
ของร่างกายอวัยวะและระบบต่าง
ๆ ในร่างกาย
ร่างกายของมนุษย์ประกอบด้วยอวัยวะต่าง
ๆ ที่มีลักษณะและหน้าที่แตกต่างกัน
อวัยวะเหล่านี้มีความสำคัญต่อการดำรงชีวิต
จึงต้องป้องกัน ดูแลรักษาไม่ให้อวัยวะเหล่านี้ได้รับอันตราย
อวัยวะของร่างกายมนุษย์ประกอบไปด้วย
2.1
อวัยวะภายนอก เป็นอวัยวะที่มองเห็นได้
เช่น ตา หู จมูก ปาก และผิวหนัง
อวัยวะเหล่านี้มีหน้าที่การทำงานต่างกัน อวัยวะภายนอกมีดังนี้
2.1.1
ดวงตา เป็นอวัยวะที่ทำให้มองเห็นสิ่งต่างๆ
และช่วยให้เกิดการเรียนรู้เพราะถ้าไม่มีดวงตา
สมองจะไม่สามารถรับรู้และจดจำ สิ่งที่อยู่รอบตัว นอกจากนั้นดวงตายังแสดงออกถึงอารมณ์
ความรู้สึกต่าง ๆ เช่น ดีใจ เสียใจ ตกใจ
ส่วนประกอบของตา
ที่สำคัญมีดังนี้
1)
คิ้ว เป็นส่วนประกอบที่อยู่เหนือหนังตาบน
ทำหน้าที่ป้องกันอันตรายไม่ให้เกิดกับดวงตา
โดยป้องกันสิ่งสกปรก เหงื่อ น้ำ และสิ่งแปลกปลอมที่อาจไหลหรือตกมาจากหน้าผาก
หรือศีรษะ เข้าสู่ดวงตาได้
2)
หนังตา และเปลือกตา ทำหน้าที่เปิดปิดดวงตา
เพื่อรับแสง และป้องกัน
อันตรายที่อาจเกิดขึ้นแก่ดวงตา
และกระจกตาโดยอัตโนมัติ เมื่อมีสิ่งอันตรายเข้ามาใกล้ดวงตา
3)
ขนตา เป็นส่วนประกอบที่อยู่หนังตาบน
หนังตาล่าง ทำหน้าที่ป้องกันอันตราย
เช่นฝุ่นละออง ไม่ให้ทำอันตรายแก่ดวงตา
4)
ต่อมน้ำตา เป็นส่วนประกอบของตาที่อยู่ในเบ้าตา
ทางด้าน หางคิ้วบริเวณหนังตาบน
ทำหน้าที่ซับน้ำตา ช่วยให้ดวงตาชุ่มชื้น และขับสิ่งสกปรกออกมากับน้ำตา
2.1.2
หู เป็นอวัยวะรับสัมผัสที่ทำให้ได้ยินเสียงต่าง
ๆ เช่น เสียงเพลงเสียงพูดคุย
การได้ยินเสียง ทำให้เกิดการสื่อสารระหว่างกัน ถ้าหูผิดปกติไม่ได้ยินเสียงใดเลยสมองจะไม่สามารถแปลความได้ว่าเสียงต่าง
ๆ เป็นอย่างไร
ส่วนประกอบของหู
ส่วนประกอบของหูแบ่งเป็น 3 ส่วน คือ
1)
หูชั้นนอก ประกอบด้วยส่วนต่าง ๆ ดังนี้
1. ใบหู
ทำหน้าที่รับเสียงสะท้อนเข้าสู่รูหู
2. รูหู
ทำหน้าที่เป็นทางผ่านของเสียง ให้เข้าไปสู่ส่วนต่าง ๆของรูหู
ภายในรูหูจะมีต่อมน้ำมัน ทำหน้าที่ผลิตไขมันทำให้หูชุ่มชื้น ดักจับฝุ่นละอองและสิ่งแปลกปลอมที่เข้ามาภายในรูหู
และเกิดเป็นขี้หู นอกจากนั้นภายในรูหูยังมีเยื่อแก้วหู
ซึ่งเป็นเยื่อแผ่นกลมบาง
ๆ กั้นอยู่ระหว่างหูชั้นนอกกับหูชั้นกลาง ทำหน้าที่ถ่ายทอดเสียงผ่านหูชั้นกลาง
2)
หูชั้นกลาง มีลักษณะเป็นโพรง ประกอบด้วยส่วนต่างๆ
ได้แก่กระดูกรูปค้อน
กระดูกรูปทั่ง และกระดูกรูปโกลน เป็นกระดูกชิ้นนอกติดอยู่กับหูชั้นในกระดูกทั้ง
3 ชิ้น ดังกล่าว ทำหน้าที่รับคลื่นเสียงต่อจากเยื่อแก้วหู
3)
หูชั้นใน มีลักษณะเป็นรูปหอยโข่ง เป็นส่วนที่อยู่ด้านในสุดทำหน้าที่ขับคลื่นเสียงโดยผ่านประสาทรับเสียงส่งต่อไปยังสมอง
และสมองก็แปลผล ทำให้รู้ว่าเสียงที่ได้ยิน
คือเสียงอะไร
2.1.3
จมูก เป็นอวัยวะรับสัมผัส ทำหน้าที่หายใจเอาอากาศเข้าและออกจากร่างกาย
และมีหน้าที่รับกลิ่นต่าง ๆ ถ้าจมูกไม่สามารถทำหน้าที่ได้ตามปกติ จะไม่ได้กลิ่นอะไรเลย
หรือทำให้ระบบการหายใจและการออกเสียงผิดปกติ
ส่วนประกอบของจมูก
จมูกเป็นอวัยวะภายนอกที่อยู่บนใบหน้าช่วยเสริมให้ใบหน้าสวยงามจมูกแบ่งออกเป็น
3 ส่วน ดังนี้
1)
สันจมูก เป็นส่วนที่มองเห็นจากภายนอก
เป็นกระดูกอ่อนทำหน้าที่ป้องกันอันตรายให้กับอวัยวะภายในจมูก
2)
รูจมูก รูจมูกมี
2 ข้าง ทำหน้าที่เป็นทางผ่านของอากาศที่หายใจเข้าออก
ภายในรูจมูกมีขนจมูกและเยื่อจมูก ทำหน้าที่กรองฝุ่นและเชื้อโรคไม่ให้เข้าสู่หลอดลมและปอด
3)
ไซนัส เป็นโพรงอากาศครอบจมูกในกะโหลกศีรษะ
จำนวน 4 คู่ทำหน้าที่พัดอากาศเข้าสู่ปอด
และปรับลมหายใจให้มีอุณหภูมิและความชื้นพอเหมาะ
2.1.4
ปากและฟัน ปากเป็นอวัยวะสำคัญของร่างกายที่ใช้ในการพูดออกเสียงและรับประทานอาหาร
หน้าที่ของฟัน
ฟัน
มีหน้าที่ในการเคี้ยวอาหาร เช่น ฉีก กัด บดอาหารให้ละเอียดฟันจึงมีหน้าที่และรูปร่างต่างกันไป
ได้แก่ ฟันหน้า มีลักษณะคล้ายลิ่ม ใช้กัดตัด ฟันเขี้ยวมีลักษณะปลายแหลม
ใช้ฉีกอาหาร และฟันกราม มีลักษณะแบน กว้าง ตรงกลางมีร่องใช้บดอาหาร
โดยฟันของคนเราจะมี 2 ชุด คือ ฟันน้ำนมและฟันแท้
1)
ฟันน้ำนม เป็นฟันชุดแรก มีทั้งหมด
20 ซี่ เป็นฟันบน 10 ซี่ ฟันล่าง10 ซี่
ฟันน้ำนมเริ่มงอกเมื่ออายุประมาณ 6-8 เดือน จะงอกครบเมื่ออายุ
2 ขวบ ถึง 2 ขวบครึ่งและจะค่อย
ๆ หลุดไปเมื่ออายุประมาณ 6 ขวบ
2)
ฟันแท้ เป็นฟันชุดที่สอง ที่เกิดขึ้นมาแทนฟันน้ำนมที่หลุดไป
ฟันแท้มี
32 ซี่ ฟันบน 16 ซี่ ฟันล่าง 16 ซี่ ฟันแท้จะขึ้นครบเมื่ออายุประมาณ 21- 25 ปี ถ้าฟันแท้ผุหรือหลุดไป
จะไม่มีฟันงอกขึ้นมาอีก
2.1.5
ผิวหนัง เป็นอวัยวะรับสัมผัส ทำให้รู้สึก
ร้อน หนาว เจ็บปวดเพราะภายใต้ผิวหนังเป็นที่รวมของเซลล์ประสาทรับความรู้สึก
นอกจากนั้นผิวหนังยังทำหน้าที่ปกคลุมร่างกาย
ช่วยป้องกันอวัยวะภายในไม่ให้ได้รับอันตราย และยังช่วยระบายความร้อนภายในร่างกายทางรูเหงื่อตามผิวหนังอีกด้วย
ส่วนประกอบของผิวหนัง
แบ่งออกเป็น 2 ชั้น ดังนี้
1)
ชั้นหนังกำพร้า เป็นชั้นบ นสุด เป็นชั้นที่จะหลุดเป็นขี้ไคลแล้วมีการสร้างขึ้นมาทดแทนขึ้นเรื่อย
ๆ และเป็นผิวหนังชั้นที่บ่งบอกความแตกต่างของสีผิวในแต่ละคน
2)
ชั้นหนังแท้ เป็นผิวหนังที่หนากว่าชั้นหนังกำพร้า
เป็นแหล่งรวมของต่อมเหงื่อ
ต่อมไขมัน และเซลล์ประสาทรับความรู้สึกต่าง ๆ
2.2
อวัยวะภายใน เป็นอวัยวะที่อยู่ใต้ผิวหนัง
ซึ่งเราไม่สามารถมองเห็นอวัยวะภายในเหล่านี้มีมากมายและทำงานประสานสัมพันธ์กันเป็นระบบอวัยวะภายในมีดังนี้
2.2.1
ปอด เป็นอวัยวะภายในอย่างหนึ่ง
อยู่ในระบบหายใจ ปอดมี 2ข้าง
ตั้งอยู่บริเวณทรวงอกทั้งทางด้านซ้ายและด้านขวา จากต้นคอลงไปจนถึงอก ปอดมีลักษณะนิ่มและหยุ่นเหมือนฟองน้ำ
ขยายใหญ่เท่ากับซี่โครงเวลาที่ขยายตัวเต็มที่มีเยื่อบางๆหุ้ม
เรียกว่า เยื่อหุ้มปอด ปอด ประกอบด้วยถุงลมเล็กๆ จำนวนมากมาย เวลาหายใจเข้าถุงลมจะพองออกและเวลาหายใจออกถุงลมจะแฟบ
ถุงลมนี้ประสานติดกันด้วยเยื่อประสานละเอียดเต็มไปด้วยเส้นเลือดฝอยมากมาย
เลือดดำจะไหลผ่านเส้นเลือดฝอยเหล่านั้นแล้วคายคาร์บอนไดออกไซด์ออก
และรับเอาออกซิเจนจากอากาศที่เราหายใจเข้าไปในถุงลมไปใช้ในกระบวนการเคมีในการสันดาปอาหารของร่างกาย
กระบวนการที่เลือดคายคาร์บอนไดออกไซด์
และรับออกซิเจนขณะที่อยู่ในปอดนี้ เรียกว่า การฟอกเลือด
หน้าที่ของปอด
ปอดจะทำหน้าที่สูบและระบายอากาศ
ฟอกเลือดเสียให้เป็นเลือดดี
การหายใจมีอยู่ 2 ระยะ คือ หายใจเข้าและหายใจออก หายใจเข้า คือ การสูดอากาศเข้าไปในปอดหรือถุงลมปอด
เกิดขึ้นด้วยการหดตัวของกล้ามเนื้อกะบังลม ซึ่งกั้นอยู่ระหว่างช่องอกกับช่องท้อง
เมื่อกล้ามเนื้อกะบังลมหดตัวจะทำให้ช่องอกมีปริมาตรมากขึ้น อากาศจะวิ่งเข้าไป
ในปอด
เรียกว่าหายใจเข้า เมื่อหายใจเข้าสุดแล้ว กล้ามเนื้อกะบังลมจะคลายตัวลง กล้ามเนื้อท้องจะดันเอากล้ามเนื้อกะบังลมขึ้น
ทำให้ช่องอกแคบลง อากาศจะถูกบีบออกจากปอดเรียกว่า
หายใจออก ปกติผู้ใหญ่หายใจประมาณ 18 - 22 ครั้งต่อนาที ผู้ที่มีอายุน้อยการหายใจจะเร็วขึ้นตามอายุ
2.2.2.
หัวใจ เป็นอวัยวะที่ประกอบด้วยกล้ามเนื้อ
ภายในเป็นโพรงรูปร่างเหมือนดอกบัวตูม
มีขนาดราวๆ กำปั้นของเจ้าของ รอบๆ หัวใจมีเยื่อบางๆ หุ้มอยู่เรียกว่า
เยื่อหุ้มหัวใจ ซึ่งมีอยู่ 2 ชั้น ระหว่างเยื่อหุ้ม ทั้งสองชั้นจะมีช่อง ซึ่งมีน้ำใสสีเหลืองอ่อนหล่ออยู่ตลอดเวลา
เพื่อมิให้เยื่อทั้งสองชั้นเสียดสีกัน และทำให้ หัวใจเต้นได้สะดวก ไม่แห้งติดกับเยื่อหุ้มหัวใจ
หัวใจตั้งอยู่ระหว่างปอดทั้งสองข้าง แต่ค่อนไปทางซ้ายและอยู่หลังกระดูกซี่โครงกับกระดูกอก
โดยปลายแหลมชี้เฉียงลงทางล่าง และชี้ไปทางซ้าย ภายในหัวใจจะมีโพรงซึ่งภายในโพรงนี้จะมีผนังกั้นแยกออกเป็นห้องๆ
รวม 4 ห้อง คือ ห้องบน 2 ห้อง และห้องล่าง2 ห้อง
สำหรับห้องบนจะมีขนาดเล็กกว่าห้องล่าง
หน้าที่ของหัวใจ
หัวใจมีจังหวะการบีบตัว
หรือที่เราเรียกว่าการเต้นของหัวใจ เพื่อสูบฉีดเลือดแดง
ไปหล่อเลี้ยงตามส่วนต่างๆ ของร่างกาย ขณะที่คลายตัวหัวใจห้องบนขวาจะรับเลือดดำมาจาก
ทั่วร่างกาย และจะถูกบีบผ่านลิ้นที่กั้นอยู่ลงไปทางห้องล่างขวา ซึ่งจะถูกฉีดไปยังปอดเพื่อคายคาร์บอนไดออกไซด์และรับออกซิเจนใหม่กลายเป็นเลือดแดง
ไหลกลับเข้ามายังหัวใจห้องบนซ้าย
และถูกบีบผ่านลิ้นที่กั้นอยู่ไปทางห้องล่างซ้าย จากนั้นก็จะถูกฉีดออกไปเลี้ยงทั่วร่างกาย
ถ้าเราใช้นิ้วแตะบริเวณเส้นเลือดใหญ่ เช่น ข้อมือ หรือข้อพับต่าง ๆ เราจะรู้สึกได้ถึงจังหวะการบีบตัวของหัวใจ
ซึ่งเราเรียกว่า ชีพจร หัวใจเป็นอวัยวะที่สำคัญที่สุด
เพราะเป็นอวัยวะที่บอกได้ว่า คนนั้นยังมีชีวิตอยู่ได้หรือไม่
ถ้าหากหัวใจหยุดเต้นก็หมายถึงว่า คนคนนั้นเสียชีวิตแล้ว การเต้นของหัวใจนั้น
ในคนปกติหัวใจจะเต้นประมาณ 70 - 80 ครั้งต่อนาที
2.2.3
กระเพาะอาหาร มีรูปร่างเหมือนน้ำเต้า
คล้ายกระเพาะหมูมีความจุประมาณ
1 ลิตร อยู่ต่อจากหลอดอาหารและอยู่ในช่องท้องค่อนไปทางด้านซ้าย
หน้าที่สำคัญของกระเพาะอาหาร
คือ มีหน้าที่ในการย่อยอาหารให้มีขนาดเล็กลง
และละลายให้เป็นสารอาหาร แล้วส่งอาหารที่ย่อยแล้วไปยังลำไส้เล็ก ลำไส้เล็กจะดูดซึมสารอาหารไปใช้ประโยชน์แก่ร่างกายต่อไป
ส่วนที่ไม่เป็นประโยชน์ที่เรียกว่ากากอาหารจะถูกส่งต่อไปยังลำไส้ใหญ่
เพื่อขับถ่ายออกจากร่างกายเป็นอุจจาระต่อไป
2.2.4 ลำไส้เล็ก มีลักษณะเป็นท่อกลวงยาวประมาณ 6 เมตร ขดอยู่ในช่องท้องตอนบน ปลายบนเชื่อมกับกระเพาะอาหาร ส่วนปลายล่างต่อกับลำไส้ใหญ่
2.2.4 ลำไส้เล็ก มีลักษณะเป็นท่อกลวงยาวประมาณ 6 เมตร ขดอยู่ในช่องท้องตอนบน ปลายบนเชื่อมกับกระเพาะอาหาร ส่วนปลายล่างต่อกับลำไส้ใหญ่
หน้าที่สำคัญของลำไส้เล็ก
คือ ย่อยอาหารต่อจากกระเพาะอาหารจนอาหารมีขนาดเล็กพอที่จะดูดซึมเข้าสู่กระแสเลือด
เพื่อนำไปเลี้ยงส่วนต่าง ๆ ของร่างกาย
2.2.5
ลำไส้ใหญ่ เป็นอวัยวะที่อยู่ในระบบทางเดินอาหาร
ลำไส้ใหญ่ของคนมีความยาวประมาณ
1.5 เมตร เส้นผ่านศูนย์กลางประมาณ 6 เซนติเมตร
แบ่งออกเป็น 3 ส่วน คือ1) กระเปาะลำไส้ใหญ่
เป็นลำไส้ใหญ่ส่วนแรกต่อจากลำไส้เล็กทำหน้าที่รับกากอาหารจากลำไส้เล็ก
2) โคลอน
(Colon) เป็นลำไส้ใหญ่ส่วนที่ยาวที่สุดประกอบด้วยลำไส้ใหญ่ขวา
ลำไส้ใหญ่กลาง และลำไส้ใหญ่ซ้าย มีหน้าที่ดูดซึมน้ำ และพวกวิตามินบี
12ที่แบคทีเรียในลำไส้ใหญ่
สร้างขึ้นและขับกากอาหารเข้าสู่ลำไส้ใหญ่ส่วนต่อไป
3) ไส้ตรง
เมื่อกากอาหารเข้าสู่ไส้ตรง จะทำให้เกิดความรู้สึกอยากถ่ายขึ้น
เพราะความดันในไส้ตรงเพิ่มขึ้น เป็นผลทำให้กล้ามเนื้อหูรูดที่ทวารหนักด้านใน ซึ่งจะทำให้เกิดการถ่ายอุจจาระออกทางทวารหนักต่อไป
หน้าที่ของลำไส้ใหญ่
(1) ช่วยย่อยอาหารเพียงเล็กน้อย
(2) ถ่ายระบายกากอาหารออกจากร่างกาย
(3) ดูดซึมน้ำและสารอิเล็คโตรลัยต์
เช่น โซเดียม และเกลือแร่อื่นๆ
จากอาหารที่ถูกย่อยแล้ว ที่เหลืออยู่ในกากอาหาร รวมทั้งวิตามินบางอย่างที่สร้างจากแบคทีเรียซึ่งอาศัยอยู่ในลำไส้ใหญ่
ได้แก่ วิตามินบีรวม วิตามินเค ด้วยเหตุนี้จึงเป็นช่องทางสำ
หรับให้น้ำ อาหารและยาแก่ผู้ป่วยทางทวารหนักได้ ทำ หน้าที่เก็บอุจจาระไว้จนกว่าจะถึงเวลาอันสมควรที่จะถ่ายออกนอกร่างกาย
2.2.6
ไต เป็นอวัยวะส่วนหนึ่งในระบบขับถ่าย
จะขับถ่ายของเสียจากร่างกายออกมาเป็นน้ำปัสสาวะ
ไตของคนเรามี 2 ข้าง มีรูปร่างคล้ายเมล็ดถั่วแดงยาวประมาณ
12 เซนติเมตร อยู่ติดผนังช่องท้องด้านหลังต่ำกว่ากระดูกซี่โครงเล็กน้อย
หน้าที่สำคัญของไต
คือ กรองของเสียออกจากเลือดแดง แล้วขับออก
นอกร่างกายในรูปของปัสสาวะ
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น