เรื่องที่ 6 ปัญหาที่เกี่ยวข้องกับพัฒนาการทางเพศของวัยรุ่น
เมื่อร่างกายเจริญเติบโตเข้าสู่วัยรุ่น
หญิงและชายมีการเปลี่ยนแปลงหลายด้านทั้งทางร่างกาย จิตใจ สังคม และพัฒนาการทางเพศ
ซึ่งเป็นพัฒนาการตามธรรมชาติของมนุษย์
การเปลี่ยนแปลงที่สำคัญคือในผู้ชายมีการฝันเปียก และในผู้หญิงมีประจำเดือน
ซึ่งหมายถึงภาวะที่นำไปสู่การตั้งครรภ์ได้
พัฒนาการทางร่างกายนี้มีความจำเป็นที่แต่ละบุคคลต้องดูแลสุขอนามัยส่วนบุคคล
และเข้าใจกลไกการสืบพันธุ์ของร่างกายเพื่อที่จะดำรงอยู่ได้อย่างมีสุขภาวะที่ดี
ประจำเดือน การตั้งครรภ์ และการแท้ง
ผู้หญิงมีประจำเดือนได้อย่างไร
การมีประจำเดือน
หรือระดู (Menstruation) เป็นกระบวนการทางธรรมชาติที่เกิดขึ้นในสตรี
โดยรังไข่จะผลิตไข่ขึ้นมาทุกเดือน เมื่อไข่สุกร่างกายเตรียมพร้อม
เพื่อรองรับไข่ที่อาจถูกผสมโดยเชื้ออสุจิของฝ่ายชาย
โดยผนังมดลูกจะเกิดการเปลี่ยนแปลง
ถ้าไม่มีการผสมระหว่างไข่และเชื้ออสุจิของฝ่ายชาย ผนังมดลูกจะลอกหลุดออกมาเป็นเลือด
ที่เรียกว่า “ประจำเดือน” กระบวนการทั้งหมดกินเวลาประมาณ
28 วัน หรือคลาดเคลื่อนมากหรือน้อยกว่า 7 วัน และมักจะมีครั้งละ 3-7 วัน
จำนวนเลือดที่ออกมาในแต่ละเดือนประมาณ 30–80 มิลลิลิตร
เมื่อร่างกายของผู้หญิงเริ่มมีการเปลี่ยนแปลงจากเด็กหญิงเข้าสู่วัยสาว
นอกเหนือจากการเปลี่ยนแปลงทางสรีระภายนอกแล้ว
การเปลี่ยนแปลงที่สำคัญอีกอย่างหนึ่งคือ การมีประจำเดือนนั่นเอง
เด็กผู้หญิงจะเริ่มมีประจำเดือนครั้งแรกในอายุราว 11–15 ปี
การมีประจำเดือนครั้งแรกจะช้าหรือเร็วขึ้นกับพัฒนาการของสมอง กรรมพันธุ์
และสุขภาพกายและใจของคน ๆ นั้น ในช่วงปีแรก ๆ ที่มีประจำเดือนใหม่ ๆ
และในวัยใกล้หมดประจำเดือน รอบเดือนมักจะไม่สม่ำเสมอและบางเดือนอาจไม่มีการตกไข่
และโดยเฉลี่ยแล้ววัยหมดประจำเดือนจะเกิดขึ้นเมื่อมีอายุประมาณ 45–50 ปีซึ่งเป็นเวลาที่รังไข่หยุดสร้างไข่ออกมา
วงจรการเกิดประจำเดือน
• การตกไข่
ช่วงประมาณกึ่งกลางของรอบเดือน
ต่อมใต้สมองจะหลั่งฮอร์โมนออกมาตัวหนึ่ง
ซึ่งมีผลทำให้รังไข่ปลดปล่อยไข่ออกมาเพื่อรอการผสม
• หลังจากตกไข่
หลังจากไข่ตก
ก็จะเคลื่อนไปตามท่อนำไข่ไปสู่มดลูก ขณะเดียวกัน รังไข่ก็เริ่มผลิตฮอร์โมน
เพื่อทำให้ผนังมดลูกเริ่มสร้างตัวให้หนาขึ้น
ขณะเดียวกันก็มีเลือดมาหล่อเลี้ยงมดลูกมากขึ้น และพร้อมที่จะรองรับไข่ที่อาจถูกผสม
• ระหว่างมีประจำเดือน
เมื่อไข่เดินทางมาถึงมดลูก
และไม่ได้รับการผสม ซึ่งอาจเป็นเพราะไม่ได้มีเพศสัมพันธ์
หรือมีเพศสัมพันธ์โดยมีการป้องกันการตั้งครรภ์ ระดับฮอร์โมนเอสโตรเจน
และโปรเจสเตอโรนจะลดลงอย่างรวดเร็ว ทำให้ผนังมดลูกหลุดลอกออกกลายเป็นประจำเดือน
โดยปกติผู้หญิงจะมีประจำเดือนอยู่ในช่วง 3-5 วัน
• หลังจากหมดประจำเดือน
หลังจากหมดประจำเดือน
ฮอร์โมนจากต่อมใต้สมองในกระแสเลือด ก็เริ่มกระตุ้นให้ไข่ในรังไข่เจริญขึ้น
ขณะเดียวกัน ฮอร์โมนจากรังไข่ก็เริ่มกระตุ้นการสร้างตัวของผนังมดลูก
ลักษณะของประจำเดือนที่ปกติ
ลักษณะของประจำเดือนปกติคือเลือดที่ออกจากช่องคลอดอย่างสม่ำเสมอ
ทุก 28 วัน ± 7
วัน ประจำเดือนที่ออกมา ประกอบด้วยน้ำเมือกจากปากมดลูก น้ำช่องคลอด
น้ำเมือกและชิ้นส่วนของเยื่อบุมดลูก และเลือด
ซึ่งส่วนประกอบเหล่านี้เห็นไม่ชัดเจนเพราะสีของเลือด ประจำเดือนที่ปกติมีสีคล้ำ
ไม่มีเลือดก้อน ไม่มีกลิ่น จนกระทั่งมีแบคทีเรียและมีการสัมผัสอากาศภายนอกช่องคลอด
จึงทำให้มีกลิ่นเกิดขึ้น ปกติจะมาประมาณ 3-7 วัน หากผิดไปจากนี้อาจถือว่าผิดปกติ
ปัญหาและอาการที่มักเกิดขึ้นในช่วงมีประจำเดือน
ก่อนหน้าที่จะมีประจำเดือน
ในช่วงระหว่างที่มีการตกของไข่
ส่วนมากผู้หญิงจะมีอาการที่บ่งบอกล่วงหน้าก่อน
บางคนอาจมีอาการปวดถ่วงบริเวณท้องน้อย หรือปวดหลัง อาจปวดมากหรือน้อยแตกต่างกันไป
อาจมีอาการร่วมของท้องเสีย และรู้สึกคลื่นไส้
มีบางรายอาจปวดศีรษะเพิ่มเข้ามาอีกอย่างหนึ่ง ในช่วงแรก ก่อนประจำเดือนมา
มักมีอาการตกขาว และมีอาการเจ็บคัดเต้านมร่วมด้วยก็ได้ ในระหว่างนี้
ผู้หญิงหลายรายจะมีความรู้สึกไม่สบายใจ ซึมเศร้า หรือหงุดหงิด รำคาญใจได้ง่าย
ซึ่งถือเป็นเรื่องปกติธรรมดา
และอาการอย่างนี้จะหายไปได้เองเมื่อประจำเดือนออกมาแล้ว ตามสถิติพบว่า
อาการปวดจะรุนแรงมากขึ้นใสช่วงอายุ 18–24 ปีแล้วก็จะทุเลาลง
อาการปวดประจำเดือนจะหายไปได้ภายหลังหญิงนั้นตั้งครรภ์และคลอดบุตร ซึ่งเชื่อว่าเป็นเพราะปากมดลูกที่ถ่างขยาย
มีผลให้เกิดการทำลายปลายประสาทที่อยู่บริเวณดังกล่าว
วิธีการบำบัดอาการอาการปวดท้องปวดเกร็ง
สามารถทำได้ด้วยวิธีง่าย ๆ คือการประคบบริเวณหน้าท้องด้วยการใช้กระเป๋าน้ำร้อน
และนอนพักเพื่อทุเลาอาการ หรืออาจรับประทานยาระงับปวดชนิดธรรมดา หรือให้ยาช่วยคลายการหดเกร็งของกล้ามเนื้อมดลูก
นอกจากนี้ควรออกกำลังอย่างสม่ำเสมอ
จะช่วยป้องกันมิให้ปัญหาการปวดท้องประจำเดือนรุนแรงได้ด้วย
อาการปวดประจำเดือนอีกประเภทหนึ่งที่อาจไม่ปกติที่ผู้หญิงควรระวัง
ส่วนใหญ่อาการจะเกิดขึ้นภายหลังจากหญิงนั้นมีประจำเดือนเป็นเวลานานหลายปี เช่น
อาการของโรคภายในช่องเชิงกราน
ซึ่งเกิดจากภาวะการติดเชื้อในอุ้งเชิงกรานชนิดเรื้อรัง
ทำให้มีผังผืดยึดอวัยวะในช่องเชิงกรานไว้ด้วยกัน
หรือภาวะเยื่อบุผนังโพรงมดลูกเจริญผิดที่ในอุ้งเชิงกราน
หรือเพราะมีเนื้องอกของกล้ามเนื้อผนังมดลูก นอกจากนี้การใส่ห่วงคุมกำเนิดก็เป็นสาเหตุที่พบบ่อย
ในภาวะเหล่านี้จะมีอาการปวดประจำเดือนแตกต่างกันไป เช่น
ยังคงปวดท้องแม้ประจำเดือนหยุดไปแล้วหลายวัน
หรือมีอาการปวดทวีขึ้นอย่างมากในแต่ละวงจรรอบประจำเดือนตามกาลเวลาที่ผ่านไป
หรือบางครั้งอาจรู้สึกหรือคลำก้อนที่ท้องน้อยได้เอง
หากมีอาการเหล่านี้ควรรีบปรึกษาแพทย์เพื่อการวินิจฉัยที่ถูกต้อง
ประจำเดือนไม่มา
ตามปกติ
ประจำเดือนจะมาครั้งแรกเมื่ออายุระหว่าง 11–15 ปี ช้าหรือเร็วแตกต่างกันไปบ้าง
หากประจำเดือนไม่มาเมื่อถึงเวลา หรือวัยที่ควรจะต้องมี ถือว่ามีความผิดปกติ
สาเหตุที่ประจำเดือนไม่มา เกิดขึ้นได้ดังนี้คือ
1.
ไม่มีมดลูก
2.
ไม่มีรังไข่
3.
ไม่มีช่องคลอดโดยกำเนิด
4.
มีรังไข่แต่เกิดความผิดปกติของรังไข่
5.
เยื่อพรหมจารีไม่เปิด
6.
เกิดความผิดปกติของช่องคลอด
7.
เกิดความผิดปกติของมดลูก
บางรายอาจมีประจำเดือนขาดหายไป
ก็ควรต้องพิจารณาสาเหตุความผิดปกติที่เกิดขึ้น หากเกิดขาดหายไปโดยไม่ทราบสาเหตุ
ควรรีบปรึกษาแพทย์ทันที สาเหตุของประจำเดือนขาดหายไปอาจเกิดจากสาเหตุเช่น
1.
เกิดการตั้งครรภ์
2.
ใช้ยาคุมกำเนิด เช่น ยาฉีดคุมกำเนิด
3.
หลังการคลอดบุตรหรือกำลังให้น้ำนมบุตรอยู่
4.
เกิดอาการเครียดทางจิตใจมาก
5.
ได้รับการผ่าตัดเอามดลูกออก หรือรังไข่ออกทั้งสองข้างแล้ว
ทัศนคติและความเชื่อเกี่ยวกับประจำเดือน
ประสบการณ์ของผู้หญิงเกี่ยวกับประจำเดือน
มิใช่เพียงเป็นแค่ส่วนหนึ่งของชีวิต ที่เป็นเรื่องของธรรมชาติ
หากแต่ยังสะท้อนให้เห็นถึงอิทธิพลความเชื่อ
ศาสนาและวัฒนธรรมในสังคมที่มากำหนดวิธีการปฏิบัติต่อภาวะการมีประจำเดือนของผู้หญิง
อันสะท้อนให้เห็นถึงความคิดและทัศนคติของสังคมที่มีต่อผู้หญิง
และโดยมากมักเป็นทัศนะในด้านลบมากกว่าด้านบวก ดังเช่น
การห้ามผู้หญิงเข้าสู่พิธีกรรมทางศาสนา หรือห้ามหญิงสังสรรค์กับผู้อื่น
หากหญิงนั้นอยู่ในช่วงมีประจำเดือน เป็นต้น
ข้อเท็จจริงในเรื่องเหล่านี้ไม่ปรากฏชัด
บางเรื่องก็พอสามารถหาเหตุผลได้ และบางเรื่องก็ไม่มีเหตุผลที่ชัดเจน ดังเช่น
การห้ามการมีเพศสัมพันธ์ขณะมีประจำเดือน ซึ่งในทางการแพทย์ไม่มีข้อห้ามใดๆ
แต่ไม่เป็นที่นิยม ก็เพราะเลือดประจำเดือนจะออกมาเลอะเทอะ
และที่สำคัญก็คือโอกาสจะมีการอักเสบติดเชื้อได้ง่ายขึ้น
เพราะปากมดลูกเปิดออกเล็กน้อย
และในมดลูกจะมีแผลเนื่องจากมีการลอกหลุดของเยื่อบุมดลูก
การตั้งครรภ์
การตั้งครรภ์เกิดจากการปฏิสนธิ
หรือการผสมของไข่ กับตัวอสุจิของฝ่ายชาย ในช่วงกึ่งกลางของรอบประจำเดือน
ซึ่งเป็นระยะที่ฝ่ายหญิงมีไข่สุกเมื่อไข่และอสุจิผสมกันแล้ว ไข่ที่ได้รับการผสม
จะเดินทางมาฝังตัวบนเยื่อมดลูกซึ่งหนาขึ้น แล้วแบ่งตัวออกเรื่อยๆ
กลายเป็นเด็กตัวเล็กๆ จนอายุครบ 9 เดือนจึงคลอดออกมา
ขณะที่ตั้งครรภ์แม่และลูกมีการเชื่อมโยงกันของเลือดผ่านทางรก
เมื่อเริ่มตั้งครรภ์ผู้หญิงจะมีอาการต่างๆ
ที่สังเกตได้ดังนี้
• ประจำเดือนขาด ประจำเดือนที่เคยมีมาสม่ำเสมอทุกเดือน
จะหายไปไม่มาอีกเลยตลอดระยะเวลาตั้งครรภ์ ประมาณ 38-40
สัปดาห์
• อาการคลื่นไส้ อาเจียน
วิงเวียนศีรษะ มักจะมีอาการในสามเดือนแรก
อาการเหล่านี้มักเป็นในตอนเช้า ซึ่งเราเรียกว่าแพ้ท้อง นั่นเอง
• เต้านมคัด หัวนมและอวัยวะเพศจะมีสีคล้ำลง
มักพบในครรภ์แรก บางครั้งอาจมีน้ำนมเหลืองออกมาเมื่อบีบหัวนม
• เด็กดิ้น ในครรภ์แรก จะรู้สีกว่าเด็กเริ่มดิ้นเมื่ออายุครรภ์ประมาณ
20 สัปดาห์ ส่วนในครรภ์หลังจะเริ่มดิ้นเมื่ออายุครรภ์ประมาณ 16 สัปดาห์ ถ้าเด็กที่เคยดิ้นอยู่แล้วดิ้นน้อยลง ต้องรีบไปพบแพทย์
• ปัสสาวะบ่อย เนื่องจากมดลูกโตขึ้น
และไปกดทับกระเพาะปัสสาวะ แต่ถ้าปัสสาวะบ่อยขึ้น มีอาการแสบขัด หรือปัสสาวะขุ่น
ต้องรีบไปพบแพทย์
• มีอารมณ์หงุดหงิด นอกจากนี้
อิทธิพลความเชื่อบางอย่างมีผลต่อการปฏิบัติตัวในระหว่างมีประจำเดือนของผู้หญิง
เช่น ความเชื่อในการงดเว้นการออกกำลังกาย การอาบน้ำหรือสระผม
หรือไม่มีเพศสัมพันธ์ระหว่างนี้
การตรวจการตั้งครรภ์
หากผู้หญิงเราไม่แน่ใจว่าตั้งครรภ์หรือไม่
สามารถตรวจสอบได้ที่คลินิก สถานพยาบาลทั้งของรัฐและเอกชน
หรือสามารถซื้อชุดตรวจการตั้งครรภ์ได้ตามร้านขายยาทั่วไป
ซึ่งเป็นการตรวจหาฮอร์โมนในปัสสาวะ เป็นวิธีที่ง่าย สะดวก และประหยัด
ซึ่งผลการตรวจจะค่อนข้างแม่นยำสำหรับผู้หญิงที่อายุครรภ์ประมาณ 27 วันหลังปฏิสนธิ
ข้อควรปฏิบัติก่อนการทดสอบการตั้งครรภ์เอง
เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการตั้งครรภ์ คือ
1.
งดน้ำหรือเครื่องดื่มใดๆ ตั้งแต่สองทุ่ม
และถ่ายปัสสาวะให้หมดก่อนเข้านอนของคืนก่อนที่จะเก็บปัสสาวะ
2.
เก็บปัสสาวะ ครั้งแรกที่ถ่ายปัสสาวะเมื่อตื่นนอนในตอนเช้า ลงในภาชนะที่สะอาด
3.
ไม่ควรรับประทานยาใดๆ ทั้งสิ้นใน 48 ชั่วโมงก่อนเก็บปัสสาวะ
4.
ในกรณีที่ยังไม่ทดสอบทันที ควรเก็บปัสสาวะใส่ช่องเก็บอาหารปกติของตู้เย็น
เพราะฮอร์โมนที่ขับออกมาในปัสสาวะของผู้หญิงตั้งครรภ์ จะเสื่อมสลายในอุณหภูมิห้อง
อะไรคือท้องนอกมดลูก
ท้องนอกมดลูกคือ
การฝังตัวนอกโพรงมดลูกของไข่ที่ถูกผสมซึ่งจะเจริญต่อไปเป็นรกและทารก
แต่ตำแหน่งที่ไข่ฝังตัวกลับอยู่ผิดที่ ตำแหน่งที่เกิดขึ้นบ่อยคือในท่อนำไข่
แต่อาจมีบางรายเกิดขึ้นที่คอมดลูก ช่องท้อง รังไข่และตำแหน่งอื่น ๆ ได้ด้วย
สาเหตุสำคัญของการเกิดท้องนอกมดลูกคือ กลไกการนำไข่เสียไป โดยรูท่อนำไข่ผิดปกติ
ทำให้ไข่ที่ผสมแล้วไม่สามารถเคลื่อนผ่านไปได้สะดวก มักมีสาเหตุมาจากการอักเสบติดเชื้อ
เชื้อที่สำคัญคือหนองใน ซี่งก่อให้เกิดความผิดปกติของเยื่อบุผนังท่อนำไข่โดยตรง
นอกจากนี้การอักเสบหรือพยาธิสภาพเรื้อรังของช่องเชิงกราน
ก็ทำให้เกิดพังผืดที่ยึดท่อนำไข่ มิให้เคลื่อนไหวได้สะดวก
ทำให้การเคลื่อนย้ายไข่ที่ผสมให้เดินทางสู่มดลูกไม่ได้ตามกำหนด
อาการที่เกิดขึ้น
คือประจำเดือนจะขาดไปช่วงหนึ่ง แต่มักไม่มีอาการแพ้ท้องเด่นชัด
เมื่อภาวะวิกฤตดังกล่าวเกิดขึ้น
ก็จะทำให้มีอาการปวดท้องเฉียบพลันที่ท้องน้อยข้างใดข้างหนึ่งอยู่ตลอดเวลา
แล้วรู้สึกหน้ามืด ใจสั่น หรือเป็นลม อาจมีเลือดออกทางช่องคลอดกระปริบกระปรอยร่วมด้วยหรือไม่มีก็ได้
ในบางราย เลือดที่ตกในช่องท้องมีจำนวนมาก
ก็จะไประคายกะบังลมที่กั้นระหว่างช่องปอดและช่องท้อง
ทำให้มีอาการเจ็บปวดที่หัวไหล่ข้างขวาได้ ผู้ป่วยจะซีดมาก กระสับกระส่าย เหงื่อออก
สติสัมปชัญญะเลือนราง มีอาการรุนแรงเฉียบพลัน ถึงขั้นช็อกได้
หากนำส่งโรงพยาบาลไม่ทัน อาจอันตรายถึงชีวิตได้ เพราะร่างกายขาดเลือด
การแท้ง
การแท้ง หมายถึง
การสิ้นสุดของการตั้งครรภ์ในระยะก่อนที่เด็กจะเติบโตพอที่จะมีชีวิตรอดได้
โดยมีอายุครรภ์น้อยกว่า 28 สัปดาห์ และ/หรือ น้ำหนักเด็กน้อยกว่า 1,000 กรัม
ชนิดของการแท้ง
การแท้งแบ่งออกได้เป็น
2 ชนิด คือ
1.
แท้งที่เกิดขึ้นเอง คือ การแท้งบุตรที่เกิดขึ้น โดยไม่มีการใช้ยา เครื่องมือ
หรือวิธีการใดๆทั้งสิ้น
2.
แท้งที่เกิดจากการกระทำ แบ่งออกได้เป็น ๒ ชนิด คือ
2.1
การทำแท้งเพื่อการรักษา
2.2
การทำแท้งที่ผิดกฎหมาย
สาเหตุของการแท้งที่เกิดขึ้นเอง
ความผิดปกติของตัวอ่อน
ซึ่งอาจเกิดจากความผิดปกติของตัวอ่อนเอง ซึ่งพบบ่อยถึงร้อยละ 60
ความผิดปกติในตัวมารดา
ซึ่งอาจเกิดจากความผิดปกติของมดลูก
การอักเสบ
ติดเชื้อ เช่น ซิฟิลิส ซึ่งอาจจะทำให้แท้งได้
นอกจากนี้ยังมีสาเหตุต่างๆ อีกมากมาย บางสาเหตุก็ไม่สามารถรักษา
หรือป้องกันได้ บางสาเหตุก็สามารถป้องกันได้ เพราะฉะนั้น
ผู้ที่เคยแท้งควรจะต้องไปพบแพทย์เพื่อตรวจหาสาเหตุ
และป้องกันก่อนที่จะตั้งครรภ์ในครั้งต่อไป เพราะอาจจะเกิดการแท้งซ้ำได้
และขณะตั้งครรภ์ควรจะต้องระมัดระวังเป็นพิเศษ และอยู่ในความดูแลของแพทย์
อาการของการแท้งที่เกิดขึ้นเอง
โดยทั่วไป
หญิงมีครรภ์เมื่อจะแท้งลูก จะเริ่มต้นด้วยอาการเลือดออกกระปริบกระปรอยทางช่องคลอด
ซึ่งเป็นเลือดที่ออกจากโพรงมดลูก เรียกการแท้งอยู่ในระยะคุกคาม
อาจร่วมกับอาการปวดท้องน้อยที่บริเวณตรงกลางเหนือหัวเหน่า จากนั้นมดลูกเริ่มบีบรัดตัว
เมื่อการแท้งลุกลามมากขึ้นจนการตั้งครรภ์ไม่อาจดำเนินต่อไปได้ เลือดก็จะออกมากขึ้น
อาการปวดท้องจะรุนแรงขึ้น สุดท้ายมดลูกจะหดตัวบีบไล่ตัวอ่อนหรือทารกและรกออกมา
ซึ่งอาจหลุดออกมาจากโพรงมดลูกได้ทั้งหมด เรียกว่าแท้งครบ โดยมากการแท้งออกมาครบเช่นนี้จะเกิดในช่วงอายุครรภ์ที่อ่อนเดือนมาก
ๆ คือไม่เกิน 8 สัปดาห์หลังจากวันแรกของการมีประจำเดือนครั้งสุดท้าย
ถ้าอายุครรภ์มากกว่านี้ สิ่งที่แท้งออกมาอาจจะไม่ครบหมดทุกอย่าง ส่วนใหญ่
มีเพียงแต่ทารกและก้อนเลือด แต่รกยังคงค้างอยู่ เพราะยิ่งอายุครรภ์มาก รกจะเจริญมากขึ้น
ทำให้ไม่หลุดออกจากโพรงมดลูกได้ง่าย ๆ การแท้งเช่นนี้ถือว่าเป็นแท้งไม่ครบ มีผลต่อสุขภาพของผู้หญิงคือทำให้ผู้หญิงตกเลือดได้อย่างมากจนเป็นอันตรายต่อชีวิต
การบำบัดคือการขูดมดลูกเพื่อเอารกส่วนที่เหลือออกให้หมด
ข้อปฏิบัติและการป้องกันการแท้งที่เกิดขึ้นเอง
1.
เมื่อรู้ว่าตนเองประจำเดือนขาด หรือสงสัยว่าจะตั้งครรภ์ ควรมาพบแพทย์ตั้งแต่เนิ่นๆ
และมาพบทุกครั้งตามนัด
2.
บอกประวัติการเจ็บป่วยในอดีต และโรคทางกรรมพันธุ์ เช่น ธาลัสซีเมีย เบาหวาน
ความดันโลหิตสูง ให้แก่แพทย์ทราบ
3.
ถ้าตั้งครรภ์เมื่ออายุมาก (35 ปีขึ้นไป) ควรรีบมาพบแพทย์
4.
ถ้าเคยมีการแท้งมาก่อน ต้องแจ้งให้แพทย์ทราบ
5.
ในระหว่างตั้งครรภ์ ถ้าเกิดอาการผิดปกติ เช่น เลือดออก ต้องรีบมาพบแพทย์ โดยด่วน
แม้ว่าจะยังไม่ถึงเวลานัด
6.
รับประทานยาบำรุงที่แพทย์ให้อย่างสม่ำเสมอ
7.
หลีกเลี่ยงการมีเพศสัมพันธ์ในขณะที่มี เลือด หรือ น้ำใสๆ ไหลออกมาทางช่องคลอด
8. ควรตั้งครรภ์ในระยะห่างกันอย่างน้อย
2 ปี
9.
ควรหลีกเลี่ยง ของมึนเมา เครื่องดื่มผสมคาเฟอีน แบะสิ่งเสพติด
การแท้งที่เกิดจากการกระทำ
ตามกฎหมายไทย
การทำแท้งเป็นการกระทำผิดกฎหมาย แต่กฎหมายมีข้อยกเว้นให้มีการทำแท้งได้บางประการ
ซึ่งจะต้องเป็นการกระทำของแพทย์และมีข้อบ่งชี้ขัดเจน เช่น
อันตรายต่อสุขภาพของมารดา หรือหญิงตั้งครรภ์เพราะถูกข่มขืน เป็นต้น
นอกเหนือจากกรณีเหล่านี้ การทำแท้งถือเป็นการผิดกฎหมายทั้งสิ้นสาเหตุของการทำแท้งส่วนใหญ่ของผู้หญิงไทยมาจากการตั้งครรภ์ไม่พึงประสงค์
เคยมีผู้ศึกษาวิจัยสาเหตุและกลุ่มอายุของผู้ทำแท้ง พบว่า
วัยรุ่นมีการตั้งครรภ์ไม่พึงประสงค์ค่อนข้างสูง
โดยมีต้นเหตุมาจากการไม่ใช้วิธีคุมกำเนิดป้องกันเมื่อมีเพศสัมพันธ์
แต่ก็เป็นที่สังเกตพบว่า ในกลุ่มผู้ใหญ่ หญิงที่แต่งงานแล้วก็พบมีการไปทำแท้งในสัดส่วนที่ไม่น้อย
ซึ่งมีสาเหตุส่วนใหญ่มาจากความล้มเหลวจากการใช้วิธีคุมกำเนิดยังมีผู้หญิงจำนวนมากที่ไม่มีความรู้ความเข้าใจเพียงพอเกี่ยวกับผลกระทบที่ตามมาจากการทำแท้งที่ผิดกฎหมาย
ซึ่งนอกจากเป็นอันตรายต่อชีวิตอย่างมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งในรายที่อายุครรภ์มาก
ยิ่งอันตรายมาก
อาการแทรกซ้อนที่พบได้บ่อยจากการทำแท้งที่ผิดกฎหมาย
ที่อาจมีทั้งอาการแทรกซ้อนในระยะสั้นและระยะยาวต่อชีวิตของหญิงคนนั้น เช่น
• การตกเลือด
อาจมีเลือดออกมากผิดปกติ ถ้าไม่ได้รับเลือดทดแทน
หรือช่วยเหลือได้ทันท่วงทีก็อาจถึงแก่ชีวิตได้
• มดลูกทะลุ
อาจจะต้องตัดมดลูกทิ้ง
• มดลูกแตก
จะต้องตัดมดลูกทิ้งทำให้หมดโอกาสที่จะมีลูกได้อีก
• การอักเสบติดเชื้อ
อันเกิดจากกระบวนการทำแท้งที่ใช้เครื่องมือที่ไม่สะอาดปราศจาก
ความระมัดระวังในมาตรการการป้องกันการแพร่เชื้อโรค
ทำให้เกิดการอักเสบติดเชื้อจากการขูดมดลูก ซึ่งส่งผลตามมาในปัญหาสุขภาพอื่น ๆ
ทำให้สิ้นเปลืองค่าใช้จ่ายในการรักษา
เนื่องจากเชื้อที่ก่อให้เกิดการอักเสบมักเป็นแบคทีเรียที่มีอานุภาพในการกระจายเชื้อได้รุนแรงมาก
จึงต้องใช้การรักษาเป็นเวลานาน
หากไม่หายขาดก็จะทำให้เกิดการติดเชื้ออักเสบเรื้อรังในอวัยวะอุ้งเชิงกราน
และหากรักษาหายขาดจากการอักเสบแล้ว
ผู้หญิงคนนั้นก็อาจมีการปัญหาด้านการมีบุตรยากต่อไปได้
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น