ใบความรู้เรื่อง กฎหมายที่เกี่ยวข้องกับการล่วงละเมิดทางเพศ
กฎหมายที่เกี่ยวข้องกับการล่วงละเมิดทางเพศ
การล่วงละเมิดทางเพศ หมายถึง
พฤติกรรมที่ละเมิดสิทธิของผู้อื่นในเรื่องเพศ ไม่ว่าจะเป็นคำพูด สายตา
และการใช้ท่าที รวมไปจนถึงการบังคับให้มีเพศสัมพันธ์ การข่มขืน
และต้องคำนึงถึงความรู้สึกของผู้หญิงเป็นหลัก การกระทำใดๆ
ก็ตามที่ทำให้ผู้หญิงรู้สึกอับอาย เป็นการล่วงเกินความเป็นส่วนตัว
และไม่ยินยอมพร้อมใจให้ทำ ถือเป็นการล่วงละเมิดทางเพศทั้งสิ้น
มีบัญญัติอยู่ในลักษณะ
9 ความผิดเกี่ยวกับเพศ ดังนี้
มาตรา 276
ผู้ใดข่มขืนกระทำชำเราหญิงซึ่งมิใช่ภริยาตน โดยขู่เข็ญประการใดๆ
โดยใช้กำลังประทุษร้ายโดยหญิงในภาวะที่ไม่สามารถขัดขืนได้
หรือโดยทำให้หญิงเข้าใจผิดคิดว่าเป็นบุคคลอื่น
ต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่สี่ปีถึงยี่สิบปี และปรับตั้งแต่แปดพันบาทถึงสี่พันบาท ถ้าการกระทำความผิดตามวรรคแรกได้กระทำโดยมีหรือใช้อาวุธปืนหรือวัตถุระเบิด
หรือโดยร่วมกระทำความผิดด้วยกัน อันมีลักษณะเป็นการโทรมหญิง
ต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่สิบห้าปีถึงยี่สิบปี
และปรับตั้งแต่สามหมื่นบาทถึงสี่หมื่นบาท หรือจำคุกตลอดชีวิต
มาตรา 277 ผู้ใดกระทำชำเราเด็กหญิงอายุไม่เกินสิบห้าปี
ซึ่งมิใช่ภริยาตน โดยเด็กหญิงนั้นจะยินยอมหรือไม่ก็ตาม
ต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่สี่ปีถึงยี่สิบปี และปรับตั้งแต่แปดพันบาทถึงสี่หมื่นบาท
ถ้ากระทำความผิดตามวรรคแรกเป็นการกระทำแก่เด็กหญิงอายุไม่เกินสิบสามปี
ต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่เจ็ดปีถึงยี่สิบปี
และปรับตั้งแต่หนึ่งหมื่นบาทถึงสี่หมื่นบาท หรือจำคุกตลอดชีวิต
ถ้าการกระทำความผิดนั้นความวรรคแรก
หรือวรรคสองได้กระทำโดยร่วมกระทำความผิดด้วยกันอันมีลักษณะเป็นการโทรมหญิงและเด็กหญิงนั้นไม่ยินยอม
หรือได้กระทำโดยมีอาวุธปืนหรือวัตถุระเบิด หรือโดยใช้อาวุธ
ต้องระวางโทษจำคุกตลอดชีวิต ความผิดตามที่บัญญัติไว้ในวรรคแรก
ถ้าเป็นการกระทำที่ชายกระทำกับเด็กหญิงอายุกว่าสิบสามปี
แต่ยังไม่เกินสิบห้าปีโดยเด็กหญิงนั้นยินยอมและภายหลังศาลอนุญาตให้ชายและเด็กหญิงนั้นสมรสกัน
ผู้กระทำผิดไม่ต้องรับโทษ
ถ้าศาลอนุญาตให้สมรสในระหว่างที่ผู้กระทำผิดกำลังรับโทษในความผิดนั้นอยู่
ให้ศาลปล่อยผู้กระทำผิดนั้นไป
มาตรา 277 ทวิ ถ้าการกระทำความผิดตามมาตรา 276 วรรคแรก
หรือมาตรา 277 วรรคแรก หรือวรรคสอง เป็นเหตุให้ผู้ถูกกระทำ
(1) รับอันตรายสาหัส
ผู้กระทำต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่สิบห้าปี ถึงยี่สิบห้าปี
และปรับตั้งแต่สามหมื่นบาท หรือจำคุกตลอดชีวิต
(2) ถึงแก่ความตาย
ผู้กระทำต้องระวางโทษประหารชีวิต หรือจำคุกตลอดชีวิต
มาตรา 277 ตรี ถ้าการกระทำความผิดตามมาตรา 276
วรรคสองหรือมาตรา 277 วรรคสาม เป็นเหตุให้ผู้กระทำ
(1) รับอันตรายสาหัส
ผู้กระทำต้องระวางโทษประหารชีวิต หรือจำคุกตลอดชีวิต
(2) ถึงแก่ความตาย
ผู้กระทำต้องระวางโทษประหารชีวิต
โดยสรุป
การจะมีความผิดฐานกระทำชำเราได้ ต้องมีองค์ประกอบความผิดดังนี้
1. กระทำชำเราหญิงอื่นที่ไม่ใช่ภรรยาตน
2. เป็นการข่มขืน
บังคับใจ โดยมีการขู่เข็ญ หรือใช้กำลังประทุษร้าย
หรือปลอมตัวเป็นคนอื่นที่หญิงชอบและหญิงไม่สามารถขัดขื่นได้
3. โดยเจตนา
ข้อสังเกต
- กระทำชำเรา =
ทำให้ของลับของชายล่วงล้ำเข้าไปในของลับของหญิง
ไม่ว่าจะล่วงล้ำเข้าไปเล็กน้อยเพียงใดก็ตาม และไม่ว่าจะสำเร็จความใคร่หรือไม่ก็ตาม
-การข่มขืน =
ข่มขืนใจโดยที่หญิงไม่สมัครใจ
-การข่มขืนภรรยาของตนเองโดยที่จดทะเบียนสมรสแล้วไม่เป็นความผิด
-การร่วมเพศโดยที่ผู้หญิงยินยอมไม่เป็นความผิด
แต่ถ้าหญิงนั้นอายุไม่เกิน 13 ปี
แม้ยินยอมก็มีความผิด
-การข่มขืนกระทำชำเราผู้ที่อยู่ภายในปกครองของตนเอง
เช่น บุตร หลาน ลูกศิษย์ที่อยู่ในความดูแลต้องรับโทษหนักขึ้น
มาตรา 278 ผู้ใดกระทำอนาจารแก่บุคคลอายุกว่าสิบห้าปี โดยขู่เข็ญด้วยประการใดๆ
โดยใช้กำลังประทุษร้าย โดยบุคคลนั้นอยู่ในภาวะที่ไม่สามารถขัดขืนได้ หรือ
โดยทำให้บุคคลนั้นเข้าใจผิดว่าตนเป็นบุคคลอื่น ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินสิบปี หรือ
ปรับไม่เกินสองหมื่นบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
มาตรา 279 ผู้ใดกระทำอนาจารแก่เด็กอายุยังไม่เกินสิบห้าปี
โดยเด็กนั้นจะยินยอมหรือไม่ก็ตาม ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินสิบปี หรือ
ปรับไม่เกินสองหมื่นบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ ถ้ากระทำความผิดตามวรรคแรก
ผู้กระทำได้กระทำโดยขู่เข็ญด้วยประการใดๆ
โดยใช้กำลังประทุษร้ายโดยเด็กนั้นอยู่ในภาวะที่ไม่สามารถขัดขืนได้ หรือ
โดยทำให้เด็กนั้นเข้าใจผิดว่าตนเป็นบุคคลอื่น ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินสิบห้าปี
หรือปรับไม่เกินสามหมื่นบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
มาตรา 280 ถ้ากระทำความผิดตามมาตรา 278 หรือ มาตรา 279 เป็นเหตุให้ผู้ถูกกระทำ
(1) รับอันตรายสาหัส
ผู้กระทำต้องระวางโทษจำคุก ตั้งแต่ห้าปีถึงยี่สิบปี
และปรับตั้งแต่หนึ่งหมื่นบาทถึงสี่หมื่นบาท
(2) ถึงแก่ความตาย
ผู้กระทำต้องระวางโทษประหารชีวิต หรือจำคุกตลอดชีวิต
มาตรา
283 ผู้ใดเพื่อสนองความใคร่ของผู้อื่น เป็นธุระ จัดหาล่อไป หรือ
พาไปเพื่อการอนาจารซึ่งชายหรือหญิง โดยใช้อุบายหลอกลวง ขู่เข็ญ ใช้กำลังประทุษร้าย
ใช้อำนาจครอบงำผิดคลองธรรม หรือใช้วิธีข่มขืนใจด้วยประการอื่นใด ต้องระวางโทษจำคุก
ตั้งแต่ห้าสิบปีถึงยี่สิบปี และปรับตั้งแต่หนึ่งหมื่นบาทถึงสี่หมื่นบาท
ถ้าการกระทำตามความผิดวรรคแรก
เป็นการกระทำแก่บุคคลอายุเกินสิบห้าแต่ยังไม่เกินสิบแปดปี
ผู้กระทำต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่เจ็ดปีถึงยี่สิบปี
และปรับตั้งแต่หนึ่งหมื่นสี่พันบาทถึงสี่หมื่นบาท
ผู้กระทำต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่สิบปีถึง ยี่สิบปี
และปรับตั้งแต่สองหมื่นบาทถึงสี่หมื่นบาท หรือจำคุกตลอดชีวิต หรือประหารชีวิต
ผู้ใดเพื่อสนองความใคร่ของผู้อื่น รับตัวบุคคลซึ่งมีผู้จัดหาไป ล่อไป
หรือพาไปตามวรรคแรก วรรคสอง หรือ วรรคสามหรือสนับสนุนในการกระทำความผิดดังกล่าว
ต้องระวางโทษตามที่บัญญัติไว้ในวรรคแรก วรรคสอง หรือวรรคสามแล้วแต่กรณี
มาตรา 283 ทวิ
ผู้ใดพาบุคคลอายุเกินสิบห้าปีแต่ยังไม่เกินสิบแปดปีไปเพื่อการอนาจาร
แม้ผู้นั้นจะยินยอมก็ตาม
ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินห้าปีหรือปรับไม่เกินหนึ่งหมื่นบาทหรือทั้งจำทั้งปรับ
ถ้าการกระทำความผิดตามวรรคแรก เป็นการกระทำแก่เด็กอายุยังไม่เกินสิบห้าปี
ผู้กระทำต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินเจ็ดปีหรือ ปรับไม่เกินหนึ่งหมื่นสี่พันบาท
หรือทั้งจำทั้งปรับ
ผู้ใดซ่อนเร้นบุคคลซึ่งพาไปตามวรรคแรกหรือวรรคสองต้องระวางโทษตามที่บัญญัติในวรรคแรกหรือวรรคสองแล้วแต่กรณี
ความผิดตามวรรคแรก และวรรคสามเฉพาะกรณีที่กระทำแก่บุคคลอายุเกินสิบห้าปี เป็นความผิดอันยอมความได้
มาตรา 284 ผู้ใดพาผู้อื่นไปเพื่ออนาจาร
โดยใช้อุบายหลอกลวง ขู่เข็ญ ใช้กำลังประทุษร้าย ใช้อำนาจครอบงำ
ผิดคลองธรรมหรือใช้วิธีข่มขืนใจด้วยประการอื่นใด
ต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่หนึ่งปีถึงสิบปีและปรับตั้งแต่สองพันบาทถึงหนึ่งหมื่นบาท
ผู้ใดซ่อนเร้นบุคคลซึ่งเป็นผู้ถูกพาไปตามวรรคแรก
ต้องระวางโทษเช่นเดียวกับผู้พาไปนั้น ความผิดตามมาตรานี้ เป็นความผิดอันยอมความได้
มาตรา 317
ผู้ใดปราศจากเหตุอันสมควรพรากเด็กอายุยังไม่เกินสิบห้าปีไปเสียจากบิดามารดาผู้ปกครอง
หรือผู้ดูแล ต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่สามปีถึงสิบห้าปีและปรับตั้งแต่หกพันบาทถึงสามหมื่นบาทผู้ใดโดยทุจริต
ซื้อ จำหน่าย หรือรับตัวเด็กซึ่งถูกพรากวรรคแรก
ต้องระวางโทษเช่นเดียวกับผู้พรากนั้น ถ้าความผิดตามมาตรานี้ได้กระทำเพื่อหากำไร
หรือ เพื่อการอนาจาร ผู้กระทำต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่ห้าปีถึงยี่สิบปีและปรับตั้งแต่หนึ่งหมื่นบาทถึงสี่หมื่นบาท
มาตรา 318
ผู้ใดพรากผู้เยาว์อายุกว่าสิบห้าปีแต่ยังไม่เกินสิบแปดปีไปเสียจากบิดามารดา
ผู้ปกครองหรือผู้ดูแล โดยผู้เยาว์นั้นไม่เต็มใจไปด้วย
ต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่สองปีถึงสิบปีและปรับตั้งแต่สี่พันบาทถึงสองหมื่นบาท
ผู้ใดโดยทุจริต ซื้อ จำหน่าย หรือ
รับตัวผู้เยาว์ซึ่งถูกพรากตามวรรคแรกต้องระวางโทษเช่นเดียวกับผู้พรากนั้น
ถ้าความผิดตามมาตรานี้ได้กระทำเพื่อกำไร หรือเพื่อการอนาจาร
ผู้กระทำต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่สามปีถึงห้าปี
และปรับตั้งแต่หกพันบาทถึงสามหมื่นบาท
มาตรา 319 ผู้ใดพรากผู้เยาว์อายุกว่าสิบห้าปีแต่ยังไม่เกินสิบแปดปีไปเสียจากบิดามารดา
ผู้ปกครองหรือผู้ดูและเพื่อหากำไรหรือเพื่อการอนาจาร โดยผู้เยาว์นั้นเต็มใจไปด้วย
ต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่สองปีถึงสิบปีและปรับตั้งแต่สี่พันบาทถึงสองหมื่นบาท
ผู้ใดโดยทุจริต ซื้อ จำหน่าย หรือรับตัวผู้เยาว์ซึ่งถูกพรากตามวรรคแรกต้องระวางโทษเช่นเดียวกับผู้พรากนั้น
ผู้ที่จะมีความผิดฐานพรากผู้เยาว์ความผิดนั้นจะต้องประกอบด้วย
1. มีการพรากบุคคลไปจากการดูแลของบิดามารดา
ผู้ดูแล หรือผู้ปกครอง
2. บุคคลที่ถูกพรากจะเต็มใจหรือไม่ก็ตาม
3. ปราศจากเหตุผลอันควร
4. โดยเจตนา
ข้อสังเกต
การพรากผู้เยาว์ =
การเอาตัวเด็กที่อายุยังไม่ครบบรรลุนิติภาวะไปจากความดูแลของบิดามารดาผู้ปกครอง
หรือ ผู้ดูแลไม่ว่าเด็กนั้นจะเต็มใจหรือไม่ก็ตาม
การพรากผู้เยาว์อายุเกิน 13 ปี แต่ไม่เกิน 18 ปี
โดยผู้เยาว์ไม่เต็มใจเป็นความผิด ผู้ที่รับซื้อขายตัวเด็กที่ถูกพรากฯต้องรับโทษเช่นเดียวกับผู้พราก
ผู้ที่พรากฯหรือรับซื้อเด็กที่พรากฯ ไปเป็นโสเภณี เป็นเมียน้อยของคนอื่น
หรือเพื่อข่มขืน ต้องรับโทษหนักขึ้น
การพรากผู้เยาว์อายุเกิน 13
ปี แต่ไม่เกิน 18 ปี
แม้ผู้เยาว์จะเต็มใจไปด้วย ถ้านำไปเพื่อการอนาจารหรือค้ากำไรเป็นความผิด เช่น
พาไปข่นขืน พาไปเป็นโสเภณี
คำแนะนำในการไปติดต่อที่สถานีตำรวจ
การแจ้งความต่างๆ
เพื่อความสะดวก
รวดเร็วและถูกต้องตามกฏหมายและระเบียบของทางราชการ เมื่อท่านไปติดต่อที่โรงพัก
ท่านควรเตรียมเอกสารที่จำเป็นติดตัวไปด้วยคือ แจ้งถูกข่มขืนกระทำชำเรา หลักฐานต่างๆ
ที่ควรนำไปแสดงต่อเจ้าหน้าที่ตำรวจ คือ เสื้อผ้าของผู้ถูกข่มขืน ซึ่งมีคราบอสุจิ
หรือรอยเปื้อนอย่างอื่นอันเกิดจากการข่มขืนและสิ่งต่างๆของผู้ต้องหาที่ตกอยู่ในที่เกิดเหตุ
ทะเบียนบ้านของผู้เสียหาย รูปถ่าย หรือ ที่อยู่ของผู้ต้องหาตลอดจนหลักฐานอื่นๆ
(ถ้ามี) แจ้งพรากผู้เยาว์หลักฐานต่างๆ ควรนำไปแสดงต่อเจ้าหน้าที่ตำรวจคือ
สูติบัตรของผู้เยาว์ ทะเบียนบ้านของผู้เยาว์ รูปถ่ายผู้เยาว์ใบสำคัญอื่นๆ
ที่เกี่ยวกับผู้เยาว์ (ถ้ามี)
หมายเหตุ
ในการไปแจ้งความหรือร้องทุกข์ต่อพนักงานสอบสวนนั้น
นอกจากนำหลักฐานไปแสดงแล้วถ้าท่านสามารถพาพยานบุคคลที่รู้เห็นหรือเกี่ยวข้องกับเหตุการณ์ไปพบเจ้าหน้าพนักงานสอบสวนด้วยก็จะเป็นประโยชน์แก่ท่าน
และพนักงานสอบสวนเป็นอย่างมาก
เพราะจะสามารถดำเนินเรื่องของท่านให้แล้วเสร็จได้เร็วขึ้น
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น