การดำรงชีวิตในปัจจุบัน
มีปัจจัยเสี่ยงและอันตรายต่างๆที่เกิดขึ้นในชีวิตประจำวัน
ของมนุษย์ ไม่ว่าจะเป็นอันตรายที่เกิดขึ้นในบ้าน
อันตรายจากการเดินทาง และอันตรายจากภัย
พิบัติธรรมชาติ
จึงต้องมีแนวทางป้องกันและแก้ไขภัยอันตรายต่าง ๆ ที่อาจเกิดขึ้น
เรื่องที่ 1 อันตรายที่อาจเกิดขึ้นในบ้าน
1. ความหมายของอุบัติเหตุในบ้าน
อุบัติเหตุในบ้าน
หมายถึง
เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นโดยไม่คาดคิด อาจเกิดจากความ
ประมาทของตนเอง
จากคนอื่น จากเหตุการณ์สุดวิสัย อุบัติเหตุที่เกิดขึ้นภายในบ้าน เช่น การ
พลัดตกหกล้ม ไฟไหม้
น้ำร้อนลวก การถูกของมีคมบาด การได้รับสารพิษ ได้รับอุบัติเหตุจาก
แก๊สหุงต้ม เป็นต้น
2. การป้องกันอุบัติเหตุในบ้าน เราสามารถที่จะป้องกันอุบัติเหตุที่จะเกิดขึ้น
ภายในบ้าน ด้วยหลักปฏิบัติ
ดังนี้
2.1 รอบคอบ ใจเย็น
ไม่เป็นคนเจ้าอารมณ์
2.2 เป็นคนมีระเบียบในการทำงาน
เก็บของอย่างเป็นระเบียบหาง่าย
2.3 ให้ความรู้อย่างถูกต้องแก่สมาชิกในบ้าน
ในการใช้เครื่องใช้ไฟฟ้าในบ้าน
2.4 หมั่นซ่อมแซมอุปกรณ์
เครื่องมือ เครื่องใช้ต่างๆ ที่ชำรุดให้อยู่ในสภาพดี
2.5 เก็บสิ่งที่เป็นอันตรายทั้งหลาย
เช่น ยา สารเคมี เชื้อเพลิง ให้พ้นจากมือเด็ก
2.6 หลีกเลี่ยงการเข้าไปอยู่ในบริเวณ
ที่อาจมีอันตรายได้ เช่น ที่รกชื้น ที่มืดมิด
ที่ขรุขระ เป็นหลุมเป็นบ่อ
เป็นต้น
2.7 การใช้แก๊สหุงต้มภายในบ้าน
ต้องปิดถังแก๊สหลังการใช้ทุกครั้ง
2.8 มีถังดับเพลิงไว้ในบ้าน
ต้องศึกษาวิธีการใช้และสามารถหยิบใช้ได้สะดวก
2.9 หลังจากจุดธูปไหว้พระควรดับไฟให้เรียบร้อย
เรื่องที่ 2 อันตรายที่อาจจะเกิดขึ้นจากการเดินทาง
ในปัจจุบันคนเรามีการเดินทางตามสถานที่ต่าง
ๆ ตลอดเวลา การเดินทาง แต่ละ
ครั้งอาจเดินทางด้วยเท้า
รถ เรือ หรือเครื่องบิน บางครั้งอาจเดินทางราบรื่น แต่บางครั้งอาจ
พบอุบัติเหตุที่ไม่คาดคิดขณะเดินทางได้
ซึ่งอาจนำไปสู่การสูญเสียทรัพย์สิน ได้รับบาดเจ็บจนถึง
เสียชีวิตได้
ข้อควรปฏิบัติในการป้องกันอุบัติเหตุจากการเดินทาง
1. ข้อปฏิบัติในการเดินทาง
1.1 ควรศึกษาและปฏิบัติตามกฎจราจรอย่างเคร่งครัด
1.2 ควรเดินบนทางเท้าและเดินชิดซ้ายของทางเท้า
1.3 ถ้าไม่มีทางเท้าให้เดินชิดขวาของถนนมากที่สุด
เพื่อจะได้เห็นรถที่
สวนมาได้
1.4 ควรข้ามสะพานลอย
เพื่อความปลอดภัยของตนเอง
1.5 ไม่ปีนป้ายรั้วกลางถนนหรือรั้วริมทาง
1.6 ใส่เสื้อผ้าสีขาวหรือสีอ่อนๆ
เมื่อต้องออกนอกบ้านเวลากลางคืน
2. ข้อปฏิบัติในการใช้รถประจำทาง
2.1 ควรรอขึ้นรถบริเวณป้ายรถประจำทาง
และขึ้นรถด้วยความรวดเร็ว
2.2 เมื่อจะขึ้นหรือลงจากรถ
ควรรอให้รถเข้าป้าย และจอดให้สนิทก่อน
2.3 ไม่แย่งกันขึ้นหรือลงรถ
ควรขึ้นและลงตามลำดับก่อน – หลัง
2.4 ไม่ห้อยโหนข้างรถ
หลังรถ หรือขึ้นไปอยู่บนหลังคารถ เพราะอาจ
พลัดตกลงมาได้
2.5 เมื่อขึ้นบนรถแล้วควรเดินชิดเข้าข้างใน
หาที่นั่งและนั่งให้เป็นที่
ถ้าต้องยืนก็ควรหาที่ยึดเหนี่ยวให้มั่นคง
2.6 ไม่ยื่นส่วนใดส่วนหนึ่งของร่างกายออกนอกรถ
2.7 ไม่รบกวนสมาธิผู้ขับ
และไม่พูดยุแหย่หรือพูดส่งเสริมให้ผู้ขับขับรถ
ด้วยความประมาท
และไม่ควรนำโทรศัพท์ขึ้นมาเล่นรบกวนผู้อื่น
3. ข้อปฏิบัติในการโดยสารรถไฟ
3.1 ไม่แย่งกันขึ้นหรือลงจากรถไฟ
3.2 ไม่ห้อยโหนข้างรถ
นั่งบนหลังคา หรือนั่งบนขอบหน้าต่างรถไฟ
3.3 ไม่ยื่นส่วนหนึ่งส่วนใดของร่างกายออกนอกรถไฟ
3.4 ไม่เดินเล่นไปมาระหว่างตู้รถไฟ
และไม่ยืนเล่นบริเวณหัวต่อระหว่าง
ตู้รถไฟ
3.5 สัมภาระต่าง ๆ
ควรจัดเก็บเข้าที่ให้เรียบร้อย ไม่วางให้เป็นที่กีด
ขวางทางเดินและไม่เก็บไว้บนที่สูงในลักษณะที่อาจหล่นมาถูกคนได้
3.6 ไม่ดื่มเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์
3.7 ถ้ามีอุบัติเหตุเกิดขึ้นหรือจะเกิดอุบัติเหตุขึ้น
ถ้ารถไฟไม่หยุดวิ่งให้ดึง
สายโซ่สัญญาณข้างตู้รถไฟ
เพื่อแจ้งเหตุให้เจ้าหน้าที่ประจำรถไฟทราบ
4. ข้อปฏิบัติในการโดยสารเรือ
4.1 การขึ้นลงเรือ
ต้องรอให้เรือเข้าเทียบท่าและจอดสนิทก่อน ควรจับ
ราวหรือสิ่งยึดเหนี่ยวขณะที่ก้าวขึ้นหรือลงเรือ
4.2 หาที่นั่งให้เรียบร้อย
ไม่ไต่กราบเรือเล่น ไม่ยืนพักเท้าบนกราบเรือ
ไม่นั่งบนกราบเรือ
หรือบริเวณหัวท้ายเรือ เพราะอาจพลัดตกน้ำได้ระหว่างเรือแล่น
4.3 ไม่ใช้มือ เท้าราน้ำ
เล่นขณะอยู่บนเรือ
4.4 เมื่อเวลาตกใจ
ไม่ควรเกาะกลุ่ม หรือไม่นั่งรวมกลุ่มกันอยู่ด้านใด
ด้านหนึ่งของเรือ
เพราะจะทำให้เรือเอียงและล่มได้
4.5 ควรทราบที่เก็บเครื่องชูชีพ
เพื่อที่จะหยิบใช้ได้ทันท่วงทีเมื่อเกิด
อุบัติเหตุเรือล่ม
เรื่องที่ 3 อันตรายจากภัยธรรมชาติ
ภัยธรรมชาติ หมายถึง
ภัยอันตรายต่างๆ ที่เกิดขึ้นตามธรรมชาติและมี
ผลกระทบต่อชีวิต
ความเป็นอยู่ของมนุษย์ นับตั้งแต่โบราณกาลแล้วที่มนุษย์ ผจญกับความ
ยิ่งใหญ่ของธรรมชาติ
การเกิดปรากฏการณ์ต่างๆ ในธรรมชาติไม่ว่าจะเป็นแผ่นดินไหว ภัยแล้ง
ภัยหนาว ฯลฯ เหล่านี้
แต่ละครั้งนำมาซึ่งความสูญเสียทั้งชีวิตและทรัพย์สินของมนุษย์เป็นอย่าง
มาก ภัยธรรมชาติสามารถแบ่งเป็น 9 ประเภทใหญ่ ๆ คือ
1. วาตภัย ภัยธรรมชาติซึ่งเกิดจากพายุลมแรง แบ่งได้ 2 ชนิด
1.1 วาตภัยจากพายุหมุนเขตร้อน ได้แก่ ดีเปรสชั่น
พายุโซนร้อน พายุ
ไต้ฝุ่น
1.2 วาตภัยจากพายุฤดูร้อน ส่วนมากจะเกิดระหว่างเดือนมีนาคมถึง
เดือนเมษายน โดยจะเกิดถี่ในภาคเหนือและภาคตะวันออกเฉียงเหนือ
พายุฤดูร้อนจะเกิดในช่วง
ที่มีลักษณะอากาศร้อนอบอ้าวติดต่อกันหลายวัน
แล้วมีกระแสอากาศเย็นจากความกดอากาศ
สูงในประเทศจีนพัดมาปะทะกัน
ทำให้เกิดฝนฟ้าคะนองมีพายุลมแรงและอาจมีลูกเห็บตกได้จะ
ทำความเสียหายในบริเวณที่ไม่กว้างนัก
ประมาณ
20 - 30 ตารางกิโลเมตร
2 อุทกภัย
อุทกภัย คือ ภัยและอันตรายที่เกิดจากสภาวะน้ำท่วมหรือน้ำท่วม
ฉับพลันมีสาเหตุมาจากเกิดฝนตกหนักหรือฝนตกต่อเนื่องเป็นเวลานาน
ซึ่งประเภทของ
อุทกภัย มีดังนี้
2.1 น้ำป่าไหลหลาก หรือน้ำท่วมฉับพลันมักจะเกิดขึ้นในที่ราบต่ำหรือ
ที่ราบลุ่มบริเวณใกล้ภูเขาต้นน้ำ
เกิดขึ้นเนื่องจากฝนตกหนักต่อเนื่องเป็นเวลานาน
ทำให้จำนวนน้ำสะสม
มีปริมาณมากจนพื้นดินและต้นไม้ดูดซับน้ำไม่ไหว ไหลบ่าลงสู่ที่ราบต่ำ
เบื้องล่างอย่างรวดเร็วทำให้บ้านเรือนพังทลายเสียหาย
และอาจทำให้เกิดอันตรายถึงชีวิตได้
2.2 น้ำท่วม หรือน้ำท่วมขังเป็นลักษณะของอุทกภัยที่เกิดขึ้นจาก
ปริมาณน้ำสะสมจำนวนมากที่ไหลบ่าในแนวระนาบจากที่สูงไปยังที่ต่ำเข้าท่วมอาคารบ้านเรือน
สวนไร่นาได้รับความเสียหาย
หรือเป็นสภาพน้ำท่วมขัง ในเขตเมืองใหญ่ที่เกิดจากฝนตกหนัก
ต่อเนื่องเป็นเวลานาน
มีสาเหตุมาจากระบบการระบายน้ำไม่ดีพอมีสิ่งก่อสร้างกีดขวางทาง
ระบายน้ำ หรือเกิดน้ำทะเลหนุนสูงกรณีพื้นที่อยู่ใกล้ชายฝั่งทะเล
2.3 น้ำล้นตลิ่ง เกิดขึ้นจากปริมาณน้ำจำนวนมากที่เกิดจากฝนตกหนัก
ต่อเนื่องที่ไหลลงสู่
ลำน้ำหรือแม่น้ำมีปริมาณมากจนระบายลงสู่ลุ่มน้ำด้านล่าง หรือออกสู่
ปากน้ำไม่ทัน ทำให้เกิดสภาวะน้ำล้นตลิ่งเข้าท่วมสวน
ไร่นา และบ้านเรือนตามสองฝั่งน้ำ
จนได้รับความเสียหาย
ถนน หรือสะพานอาจชำรุด
3. ภัยแล้ง
ภัยแล้ง คือ ภัยที่เกิดจากการขาดแคลนน้ำในพื้นที่ใดพื้นที่หนึ่งเป็น
เวลานาน ฝนแล้งไม่ตกต้องตามฤดูกาล
จนก่อให้เกิดความแห้งแล้ง และส่งผลกระทบต่อชุมชน
มีสาเหตุมาจากพายุหมุนเขตร้อนเคลื่อนผ่านประเทศไทยน้อย
หรือไม่มีผ่านเข้ามาเลย
ร่องความกดอากาศต่ำมีกำลังอ่อน
มรสุมตะวันตกเฉียงใต้มีกำลังอ่อน เกิดสภาวะฝนทิ้งช่วงเป็น
เวลานานหรือเกิดปรากฏการณ์เอลนิโญรุนแรง
ทำให้ฝนน้อยกว่าปกติ
4. พายุฝนฟ้าคะนอง
พายุฝนฟ้าคะนอง
เป็นปรากฏการณ์ทางธรรมชาติที่เกิดขึ้นเป็น
ประจำทุกวันเหนือพื้นผิวโลก
โดยการก่อตัวที่เกิดขึ้นในแต่ละพื้นที่จะเป็นไปตามฤดูกาลใน
บริเวณใกล้เส้นศูนย์สูตรมีโอกาสที่จะเกิดฝนฟ้าคะนองได้ตลอดปี
เนื่องจากมีสภาพอากาศใน
เขตร้อนจึงมีอากาศร้อนอบอ้าว
ซึ่งเอื้อต่อการก่อตัวของพายุฝนฟ้าคะนองได้ตลอดปี
5. คลื่นพายุซัดฝั่ง
คลื่นพายุซัดฝั่ง
คือ คลื่นซัดชายฝั่งขนาดใหญ่ อันเนื่องมาจากความแรง
ของลม ที่เกิดขึ้นจากพายุหมุนเขตร้อนที่เคลื่อนตัวเข้าหาฝั่ง
โดยปกติมีความรุนแรงมากในรัศมี
ประมาณ 100 กิโลเมตร แต่บางครั้งอาจเกิดได้เมื่อศูนย์กลางพายุอยู่ห่างมากกว่า
100
กิโลเมตรได้ ขึ้นอยู่กับความรุนแรงของพายุและสภาพภูมิศาสตร์ของพื้นที่ชายฝั่งทะเล
6. แผ่นดินไหว
แผ่นดินไหว เป็นภัยพิบัติทางธรรมชาติที่เกิดจากการสั่นสะเทือนของ
พื้นดิน อันเนื่องมาจากการปลดปล่อยพลังงานเพื่อลดความเครียดที่สะสมไว้ภายในโลกออกมา
เพื่อปรับความสมดุลของเปลือกโลกให้คงที่
7. แผ่นดินถล่ม
แผ่นดินถล่ม เป็นปรากฎการณ์ทางธรรมชาติของการสึกกร่อนชนิดหนึ่ง
ที่ก่อให้เกิดความเสียหายต่อบริเวณพื้นที่ที่เป็นเนินสูงหรือภูเขาที่มีความลาดชันมาก
เนื่องจาก
ขาดความสมดุลในการทรงตัวบริเวณดังกล่าว
ทำให้เกิดการปรับตัวของพื้นที่ต่อแรงดึงดูดของ
โลกและเกิดการเคลื่อนตัวขององค์ประกอบธรณีวิทยาบริเวณนั้นจากที่สูงลงสู่ที่ต่ำ
แผ่นดินถล่ม
มักเกิดในกรณีที่มีฝนตกหนักมาก
บริเวณภูเขาและภูเขานั้นอุ้มน้ำไว้ จนเกิดการอิ่มตัว ทำให้
เกิดการพังทลายกลายเป็นดินถล่ม
8. ไฟป่า
ไฟป่า การเกิดไฟป่าเกิดจากความประมาทมักง่ายของคน
ไฟป่า
ร้อยละ 90 เกิดจากฝีมือมนุษย์ โดยเฉพาะผู้บุกรุกไปในป่าทำการก่อกองไฟแล้วไม่ดับไฟให้สนิท
หรือทิ้งก้นบุหรี่โดยไม่ดับก่อน
ไฟป่าจะทำความเสียหายให้กับป่าไม้ แล้วยังทำลายชีวิตสัตว์ป่า
อีกด้วย ตลอดจนก่อให้มลพิษทางอากาศบริเวณกว้างและมีผลกระทบต่อการจราจรทางอากาศ
ด้วย
9. สึนามิ
สึนามิ คือคลื่นหรือกลุ่มคลื่นที่มีจุดกำเนิดอยู่ในเขตทะเลลึก
ซึ่งมักปรากฏ
หลังแผ่นดินไหวขนาดใหญ่
แผ่นดินไหวใต้ทะเล ภูเขาไฟระเบิด ดินถล่มแผ่นดินทรุด หรือ
อุกกาบาตขนาดใหญ่ตกสู่พื้นทะเลหรือมหาสมุทรบนผิวโลกคลื่นสึนามิที่เกิดขึ้นนี้จะถาโถมเข้าสู่
พื้นที่ชายฝั่งทะเลด้วยความรวดเร็วและรุนแรงสร้างความเสียหายอย่างใหญ่หลวงให้แก่ชีวิตและ
ทรัพย์สินที่อยู่อาศัย
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น