วันอังคารที่ 11 ธันวาคม พ.ศ. 2561

2.4 วิธีการสร้างสัมพันธภาพที่ดีระหว่างคนในครอบครัว


วิธีการสร้างสัมพันธภาพที่ดีระหว่างคนในครอบครัว
ครอบครัว หมายถึง กลุ่มคนตั้งแต่ 2 คนขึ้นไปมาเกี่ยวพันกัน และสืบสายเลือด ได้แก่ พ่อ แม่ ลูก และอาจมีญาติ หรือไม่ใช่ญาติมาอาศัยอยู่ด้วยกัน ซึ่งถือเป็นสมาชิกครอบครัว เช่นกัน มีความรัก มีความผูกพันซึ่งกันและกัน
ครอบครัวมีหน้าที่หล่อหลอม ขัดเกลาสมาชิกในครอบครัว ให้เป็นคนดี รู้ระเบียบและกฎเกณฑ์ของสังคม อีกทั้งยังสร้างความเป็นตัวตนของทุกคน เช่น ลักษณะนิสัย ความคิด ความเชื่อ ความสนใจ เป็นต้น
การสร้างสัมพันธภาพในครอบครัว
ความขัดแย้งระหว่างพ่อแม่และลูกเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นเสมอ เพราะความแตกต่างของวัยและประสบการณ์ ความห่วงใยของพ่อแม่ที่ปรากฏผ่านการว่ากล่าว ตักเตือน ห้ามปราม ให้ความรู้สึกไม่ไว้ใจและกังวลเกินความจำเป็นต่อลูกโดยเฉพาะลูกที่อยู่ในวัยรุ่น
เปลี่ยนพฤติกรรม เนื่องจากพ่อแม่ใช้ประสบการณ์ของตนมาคาดเดาถึงผลที่อาจเกิดขึ้นเมื่อเห็นการกระทำของลูก การตำหนิจึงมักมาพร้อมกับท่าทีขุ่นเคือง โมโห บ่น ทำให้ดูเหมือนว่าพ่อแม่ชอบใช้อารมณ์ ไม่ใช้เหตุผล ไม่ค่อยยอมรับสิ่งที่เป็นอยู่ของลูกวัยรุ่น
ความต้องการของตัวเองเป็นที่ตั้ง ไม่พยายามเข้าใจอีกฝ่ายหนึ่งว่าต้องการอะไร ย่อมทำให้เกิดความขัดแย้งกัน การหาทางออกจึงต้องเริ่มจากตัวเองก่อนในการเปิดใจมองหาความหมายที่อีกฝ่ายพยายามสื่อสารผ่านการกระทำซึ่งเราอาจไม่ชอบใจ การเข้าใจความหมายที่แท้จริงจะช่วยให้เกิดการสื่อสารระหว่างกัน ไม่ติดกับอารมณ์และท่าทีของกันและกัน
การเรียนรู้ถึงความแตกต่างของวัยและประสบการณ์ของทั้งสองฝ่าย จะช่วยสร้างความเข้าใจ ลดข้อขัดแย้ง และสื่อสารกันได้มากขึ้น
ปัจจัยที่ช่วยส่งเสริมให้มีสัมพันธภาพที่ดีต่อกัน ได้แก่
การชมเชยหรือชื่นชมอย่างเหมาะสม
การติเพื่อก่อ
การแก้ไขความขัดแย้งในเชิงสร้างสรรค์
การชมเชยหรือชื่นชม
คนส่วนใหญ่ไม่ว่าจะอยู่ในครอบครัวหรืออยู่ในสังคมภายนอกครอบครัว มักจะไม่ค่อยชื่นชมหรือชมเชยกัน พ่อแม่ส่วนใหญ่เชื่อว่าถ้าชมลูกบ่อยๆ เด็กจะเหลิง อาจกลายเป็นคนไม่ดีได้ ทำให้พ่อแม่ไม่ชมเมื่อลูกกระทำสิ่งที่ดีหรือมีพฤติกรรมในลักษณะที่เป็นสิ่งที่พ่อแม่ต้องการ จึงทำให้เด็กขาดกำลังใจ ขาดน้ำหล่อเลี้ยงจิตใจ
คนเราโดยทั่วไปต้องการคำชมเชย โดยการชมเชยที่จะสร้างเสริมสัมพันธภาพให้ดีควรมีลักษณะดังนี้
ชมพฤติกรรมที่เพิ่งเกิดขึ้นใหม่ๆ
การชมควรเน้นที่พฤติกรรมที่ทำได้ดี และชมทีละ 1 พฤติกรรม
บอกความรู้สึกของเราต่อพฤติกรรมนั้นอย่างจริงใจ
ชมเฉพาะสิ่งที่ควรชม
ไม่ชมมากเกินกว่าความเป็นจริง
ตัวอย่าง เช่น
ลูกบอกกับแม่ว่าวันนี้ แม่ทำกับข้าวอร่อยมาก ทำให้กินได้มาก ลูกรู้สึกมีความสุข ภูมิใจที่มีแม่ทำกับข้าวอร่อย
แม่บอกกับลูกว่าวันนี้ แม่รู้สึกภูมิใจที่ลูกช่วยล้างชามในตอนเย็นได้สะอาดเรียบร้อยดีมาก โดยที่แม่ไม่ต้องเรียกให้ทำ
การติเพื่อก่อ
คนส่วนใหญ่ ไม่ชอบฟังคำติ การติติงที่ไม่เหมาะสม มักจะทำให้เกิดผลเสียหายตามมา เช่น เกิดการทะเลาะกันได้ แต่การติในเชิงสร้างสรรค์ก็มีประโยชน์ และสามารถเสริมสร้างสัมพันธภาพที่ดีได้ โดยมีลักษณะดังนี้
ต้องแน่ใจว่า เขาสนใจที่จะรับฟังคำติ และพร้อมที่จะรับฟัง
เรื่องที่จะติ ต้องเป็นเรื่องที่เพิ่งเกิดขึ้น ไม่ใช่เกิดขึ้นเมื่อนานมาแล้ว
สิ่งที่จะติ ต้องเป็นสิ่งที่เปลี่ยนแปลงได้
พูดถึงพฤติกรรมที่ติให้ชัดเจน เป็นรูปธรรม
บอกทางแก้ไขไว้ด้วย เช่น ควรทำอย่างไรให้ดีขึ้น
รักษาหน้าของผู้รับคำติเสมอ เช่น ไม่สมควรติต่อหน้าคนอื่น
เลือกเวลาและจังหวะที่เหมาะสม เช่น ผู้รับคำติมีอารมณ์สงบหรือแจ่มใส ไม่ติในช่วงที่มี
อารมณ์โกรธ
ตัวอย่างเช่น หากพ่อหรือแม่ต้องการติลูกวัยรุ่นในเรื่องการคุยโทรศัพท์นาน ควรเลือกเวลาที่ลูกมีอารมณ์สงบ พร้อมที่จะรับฟัง และพูดติในเชิงสร้างสรรค์ว่า
วันนี้ลูกคุยโทรศัพท์กับเพื่อนมานาน 2 ชั่วโมงแล้ว แม่คิดว่าลูกควรหยุดคุยโทรศัพท์ได้แล้ว และหันมาทำการบ้าน อ่านหนังสือ แล้วเข้านอน จะดีกว่าไหม
การแก้ไขความขัดแย้งในเชิงสร้างสรรค์
หนทางในการแก้ไขปัญหา เมื่อเกิดความขัดแย้งในครอบครัวคือ การสื่อสารที่ดี ซึ่งต้องอาศัยทักษะและความสามารถ ดังต่อไปนี้
แสดงความปรารถนาอย่างแน่วแน่ที่จะร่วมกันรักษาความสัมพันธ์ที่ดีต่อกันไว้
มุ่งมั่นเชิงสร้างสรรค์ เป็นไปในทางการปรึกษากัน
ให้ความสำคัญ และตั้งใจฟังความคิดเห็นของอีกฝ่ายหนึ่ง
แสดงความคิดเห็นของเราให้ชัดเจนและสื่อสารให้อีกฝ่ายหนึ่งได้รับทราบ
ไม่ถือว่าการยอมรับความคิดเห็นของผู้อื่นเป็นเรื่องแพ้หรือเป็นเรื่องที่เสียหาย
ยอมรับฟังความคิดเห็นของกันและกัน
หลีกเลี่ยงการใช้อารมณ์ ขู่ คุกคาม ดื้อรั้น
ช่วยกันเลือกหาทางออกที่ยอมรับได้ทั้ง 2 ฝ่าย
ตัวอย่างการแก้ไขความขัดแย้งระหว่างคู่สมรส
คู่สมรสทั้ง 2 คนจะต้องเปิดใจรับฟังกันก่อนโดยการพูดทีละคน และรับฟังกันโดยพูดให้จบประโยคหรือจบประเด็นทีละคน และรับฟังให้เข้าใจว่าอีกคนตั้งใจจะสื่ออะไรให้ทราบ
ถ้าฝ่ายหนึ่งพูดแทรกในขณะที่อีกคนพูดไม่จบประเด็น ก็จะทำให้สื่อสารกันไม่ได้
ถ้าคนหนึ่งหรือทั้ง 2 คน โกรธ โมโห ข่มขู่ ก็จะยิ่งทำให้ไม่สามารถแก้ไขความขัดแย้งได้ ต้องหลีกเลี่ยงการใช้อารมณ์ พยายามพูดคุยกันด้วยอารมณ์ที่สงบ และตั้งใจฟังความคิดเห็นของอีกฝ่ายหนึ่ง
ท้ายที่สุด ช่วยกันเลือกหรือตัดสินใจมองหาทางออกที่ทั้งคู่ยอมรับได้

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น