วิธีการสร้างสัมพันธภาพที่ดีระหว่างคนในครอบครัว
ครอบครัว
หมายถึง
กลุ่มคนตั้งแต่
2 คนขึ้นไปมาเกี่ยวพันกัน และสืบสายเลือด ได้แก่ พ่อ แม่ ลูก และอาจมีญาติ
หรือไม่ใช่ญาติมาอาศัยอยู่ด้วยกัน ซึ่งถือเป็นสมาชิกครอบครัว เช่นกัน มีความรัก มีความผูกพันซึ่งกันและกัน
ครอบครัวมีหน้าที่หล่อหลอม
ขัดเกลาสมาชิกในครอบครัว ให้เป็นคนดี รู้ระเบียบและกฎเกณฑ์ของสังคม อีกทั้งยังสร้างความเป็นตัวตนของทุกคน
เช่น ลักษณะนิสัย ความคิด ความเชื่อ ความสนใจ เป็นต้น
การสร้างสัมพันธภาพในครอบครัว
ความขัดแย้งระหว่างพ่อแม่และลูกเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นเสมอ
เพราะความแตกต่างของวัยและประสบการณ์ ความห่วงใยของพ่อแม่ที่ปรากฏผ่านการว่ากล่าว ตักเตือน
ห้ามปราม ให้ความรู้สึกไม่ไว้ใจและกังวลเกินความจำเป็นต่อลูกโดยเฉพาะลูกที่อยู่ในวัยรุ่น
เปลี่ยนพฤติกรรม
เนื่องจากพ่อแม่ใช้ประสบการณ์ของตนมาคาดเดาถึงผลที่อาจเกิดขึ้นเมื่อเห็นการกระทำของลูก
การตำหนิจึงมักมาพร้อมกับท่าทีขุ่นเคือง โมโห บ่น ทำให้ดูเหมือนว่าพ่อแม่ชอบใช้อารมณ์
ไม่ใช้เหตุผล ไม่ค่อยยอมรับสิ่งที่เป็นอยู่ของลูกวัยรุ่น
ความต้องการของตัวเองเป็นที่ตั้ง
ไม่พยายามเข้าใจอีกฝ่ายหนึ่งว่าต้องการอะไร ย่อมทำให้เกิดความขัดแย้งกัน การหาทางออกจึงต้องเริ่มจากตัวเองก่อนในการเปิดใจมองหาความหมายที่อีกฝ่ายพยายามสื่อสารผ่านการกระทำซึ่งเราอาจไม่ชอบใจ
การเข้าใจความหมายที่แท้จริงจะช่วยให้เกิดการสื่อสารระหว่างกัน ไม่ติดกับอารมณ์และท่าทีของกันและกัน
การเรียนรู้ถึงความแตกต่างของวัยและประสบการณ์ของทั้งสองฝ่าย
จะช่วยสร้างความเข้าใจ ลดข้อขัดแย้ง และสื่อสารกันได้มากขึ้น
ปัจจัยที่ช่วยส่งเสริมให้มีสัมพันธภาพที่ดีต่อกัน
ได้แก่
•
การชมเชยหรือชื่นชมอย่างเหมาะสม
•
การติเพื่อก่อ
•
การแก้ไขความขัดแย้งในเชิงสร้างสรรค์
การชมเชยหรือชื่นชม
คนส่วนใหญ่ไม่ว่าจะอยู่ในครอบครัวหรืออยู่ในสังคมภายนอกครอบครัว
มักจะไม่ค่อยชื่นชมหรือชมเชยกัน พ่อแม่ส่วนใหญ่เชื่อว่าถ้าชมลูกบ่อยๆ เด็กจะเหลิง อาจกลายเป็นคนไม่ดีได้
ทำให้พ่อแม่ไม่ชมเมื่อลูกกระทำสิ่งที่ดีหรือมีพฤติกรรมในลักษณะที่เป็นสิ่งที่พ่อแม่ต้องการ
จึงทำให้เด็กขาดกำลังใจ ขาดน้ำหล่อเลี้ยงจิตใจ
คนเราโดยทั่วไปต้องการคำชมเชย
โดยการชมเชยที่จะสร้างเสริมสัมพันธภาพให้ดีควรมีลักษณะดังนี้
•
ชมพฤติกรรมที่เพิ่งเกิดขึ้นใหม่ๆ
•
การชมควรเน้นที่พฤติกรรมที่ทำได้ดี และชมทีละ 1 พฤติกรรม
•
บอกความรู้สึกของเราต่อพฤติกรรมนั้นอย่างจริงใจ
•
ชมเฉพาะสิ่งที่ควรชม
•
ไม่ชมมากเกินกว่าความเป็นจริง
ตัวอย่าง
เช่น
ลูกบอกกับแม่ว่า “วันนี้ แม่ทำกับข้าวอร่อยมาก ทำให้กินได้มาก ลูกรู้สึกมีความสุข ภูมิใจที่มีแม่ทำกับข้าวอร่อย”
แม่บอกกับลูกว่า “วันนี้ แม่รู้สึกภูมิใจที่ลูกช่วยล้างชามในตอนเย็นได้สะอาดเรียบร้อยดีมาก โดยที่แม่ไม่ต้องเรียกให้ทำ”
การติเพื่อก่อ
คนส่วนใหญ่
ไม่ชอบฟังคำติ การติติงที่ไม่เหมาะสม มักจะทำให้เกิดผลเสียหายตามมา เช่น เกิดการทะเลาะกันได้
แต่การติในเชิงสร้างสรรค์ก็มีประโยชน์ และสามารถเสริมสร้างสัมพันธภาพที่ดีได้ โดยมีลักษณะดังนี้
•
ต้องแน่ใจว่า เขาสนใจที่จะรับฟังคำติ และพร้อมที่จะรับฟัง
•
เรื่องที่จะติ ต้องเป็นเรื่องที่เพิ่งเกิดขึ้น ไม่ใช่เกิดขึ้นเมื่อนานมาแล้ว
•
สิ่งที่จะติ ต้องเป็นสิ่งที่เปลี่ยนแปลงได้
•
พูดถึงพฤติกรรมที่ติให้ชัดเจน เป็นรูปธรรม
•
บอกทางแก้ไขไว้ด้วย เช่น ควรทำอย่างไรให้ดีขึ้น
•
รักษาหน้าของผู้รับคำติเสมอ เช่น ไม่สมควรติต่อหน้าคนอื่น
•
เลือกเวลาและจังหวะที่เหมาะสม เช่น ผู้รับคำติมีอารมณ์สงบหรือแจ่มใส
ไม่ติในช่วงที่มี
อารมณ์โกรธ
ตัวอย่างเช่น
หากพ่อหรือแม่ต้องการติลูกวัยรุ่นในเรื่องการคุยโทรศัพท์นาน ควรเลือกเวลาที่ลูกมีอารมณ์สงบ
พร้อมที่จะรับฟัง และพูดติในเชิงสร้างสรรค์ว่า
“วันนี้ลูกคุยโทรศัพท์กับเพื่อนมานาน 2 ชั่วโมงแล้ว แม่คิดว่าลูกควรหยุดคุยโทรศัพท์ได้แล้ว
และหันมาทำการบ้าน อ่านหนังสือ แล้วเข้านอน จะดีกว่าไหม”
การแก้ไขความขัดแย้งในเชิงสร้างสรรค์
หนทางในการแก้ไขปัญหา
เมื่อเกิดความขัดแย้งในครอบครัวคือ การสื่อสารที่ดี ซึ่งต้องอาศัยทักษะและความสามารถ
ดังต่อไปนี้
•
แสดงความปรารถนาอย่างแน่วแน่ที่จะร่วมกันรักษาความสัมพันธ์ที่ดีต่อกันไว้
•
มุ่งมั่นเชิงสร้างสรรค์ เป็นไปในทางการปรึกษากัน
•
ให้ความสำคัญ และตั้งใจฟังความคิดเห็นของอีกฝ่ายหนึ่ง
•
แสดงความคิดเห็นของเราให้ชัดเจนและสื่อสารให้อีกฝ่ายหนึ่งได้รับทราบ
•
ไม่ถือว่าการยอมรับความคิดเห็นของผู้อื่นเป็นเรื่องแพ้หรือเป็นเรื่องที่เสียหาย
•
ยอมรับฟังความคิดเห็นของกันและกัน
•
หลีกเลี่ยงการใช้อารมณ์ ขู่ คุกคาม ดื้อรั้น
•
ช่วยกันเลือกหาทางออกที่ยอมรับได้ทั้ง 2 ฝ่าย
ตัวอย่างการแก้ไขความขัดแย้งระหว่างคู่สมรส
•
คู่สมรสทั้ง 2 คนจะต้องเปิดใจรับฟังกันก่อนโดยการพูดทีละคน
และรับฟังกันโดยพูดให้จบประโยคหรือจบประเด็นทีละคน และรับฟังให้เข้าใจว่าอีกคนตั้งใจจะสื่ออะไรให้ทราบ
•
ถ้าฝ่ายหนึ่งพูดแทรกในขณะที่อีกคนพูดไม่จบประเด็น ก็จะทำให้สื่อสารกันไม่ได้
•
ถ้าคนหนึ่งหรือทั้ง 2 คน โกรธ โมโห ข่มขู่ ก็จะยิ่งทำให้ไม่สามารถแก้ไขความขัดแย้งได้
ต้องหลีกเลี่ยงการใช้อารมณ์ พยายามพูดคุยกันด้วยอารมณ์ที่สงบ และตั้งใจฟังความคิดเห็นของอีกฝ่ายหนึ่ง
•
ท้ายที่สุด ช่วยกันเลือกหรือตัดสินใจมองหาทางออกที่ทั้งคู่ยอมรับได้
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น